ห้องเม่าปีกเหล็ก

โบรกคาด ‘กลุ่มโรงไฟฟ้า’ ฟื้น

โดย ในหุบเขา
เผยแพร่ :
66 views

โบรกคาด ‘กลุ่มโรงไฟฟ้า’ ฟื้น รับต้นทุนลดลงหนุนกำไรพุ่ง

 

  • โบรกเกอร์คาดการณ์ว่ากลุ่มโรงไฟฟ้าจะฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 โดยมีปัจจัยหนุนหลักจากต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลดลง ซึ่งเป็นผลจากสถานการณ์ความขัดแย้งในต่างประเทศที่คลี่คลายลง
  • การที่ต้นทุนลดลงสวนทางกับค่าไฟฟ้าที่ยังทรงตัวและความต้องการใช้พลังงานที่ขยายตัวต่อเนื่อง จะช่วยหนุนให้อัตรากำไรและผลประกอบการโดยรวมเติบโตขึ้น
  • ผลประกอบการในไตรมาส 2 ปี 2568 ของหุ้นโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่หลายแห่งออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ และคาดว่าจะมีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่องในไตรมาส 3
  • ปัจจัยบวกอื่นๆ ที่ช่วยหนุนการฟื้นตัว ได้แก่ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่อาจปรับลดลง ซึ่งช่วยลดต้นทุนทางการเงิน และค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น

 

 

“กลุ่มโรงไฟฟ้า” ครึ่งหลังปี 2568 ยังคงได้รับแรงหนุนจาก “ต้นทุนก๊าซลดลง-ค่าไฟทรงตัว และดีมานด์พลังงาน” ที่ยังขยายตัว หนุนกำไรเติบโตเพิ่มขึ้นได้ หลังไตรมาส 2 ปี 2568 ผลประกอบการหุ้นโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่หลายตัวรายงานออกมาดีกว่าคาด แต่ปัจจัยการเมืองอาจจะเข้ามา “กดดัน” บ้าง รวมถึงความตึงเครียดระหว่าง “รัสเซีย-ยูเครน” ยังคงต้องเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดแม้สถานการณ์จะเริ่มคลี่คลายลง

“กิจพัฒน วงษ์เมตตา” นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)บัวหลวง ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ในช่วงครึ่งปีหลังตั้งแต่เดือนก.ย. 2568 เป็นต้นไป อัตราค่าไฟฟ้าจะมี “การปรับลดลง” จาก 3.98 บาท/หน่วย มาอยู่ที่ 3.94 บาท/หน่วย ในขณะเดียวกัน ราคาก๊าซธรรมชาติก็มีการปรับลดลงด้วยเช่นกัน ดังนั้น ไตรมาส 3 ปี 2568 มีแนวโน้มผลดำเนินงานดีขึ้น คาดว่าโรงไฟฟ้า SPP จะมีมาร์จินที่ดีขึ้นเล็กน้อย ขณะที่ ไตรมาส 4 ปี 2568 มาร์จินอาจลดลงเล็กน้อย เนื่องจากมองค่าไฟฟ้าจะมีผลกระทบมากกว่า แม้ราคาก๊าซจะปรับลดลง ส่วนกลุ่มโรงไฟฟ้า IPP ขนาดใหญ่ เช่น GULF อาจจะไม่ได้รับผลกระทบมากจากปัจจัยดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม การเจรจาเรื่องภาษีได้สิ้นสุดลงแล้ว และไทยจะต้องมีการซื้อ LNG เพิ่มเติมจากสหรัฐแต่ทว่าไม่น่าจะส่งผลให้ราคา LNG ปรับตัวขึ้นมากนัก เนื่องจากไทยมีการซื้อบางส่วนจากสหรัฐอยู่แล้ว และราคาค่อนข้างเป็นราคาตลาดกลาง ขณะที่สถานการณ์รัสเซีย-ยูเครนจะเริ่มคลี่คลายลง แต่ยังคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ทำให้ราคาก๊าซยังคงมีความไม่แน่นอนเ

“โอกาสที่ค่าไฟฟ้าจะปรับขึ้นมีน้อยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงใกล้การเลือกตั้ง ซึ่งไม่ว่าพรรคใดจะเป็นรัฐบาล เรื่องค่าไฟฟ้าจะเป็นวาระสำคัญที่ต้องทำให้ราคาถูกลง อย่างไรก็ตาม อาจส่งผลให้ประเด็นเกี่ยวกับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของไทย (PDP) เกิดความล่าช้าออกไป คล้ายกับรอบที่ผ่านมาที่ PDP ถูกเลื่อนไปให้รัฐบาลชุดถัดไปพิจารณา”

“ณัฐพล คำถาเครือ” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ปัจจัยหนุนที่สำคัญสำหรับกลุ่มโรงไฟฟ้าในครึ่งปีหลัง ได้แก่ สถานการณ์ความขัดแย้งที่คลี่คลายลง ส่งผลให้ราคาพลังงาน ทั้งราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติปรับตัวลดลง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อต้นทุนการผลิตไฟฟ้า รวมถึงการที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายมีการปรับตัวลดลง ทำให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทโรงไฟฟ้าปรับลดลงตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม แม้ที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้ปรับลดค่าเอฟทีจากเดิม ทำให้รายได้จากค่าไฟฟ้ายังคงทรงตัว

สำหรับหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าที่น่าสนใจและมีแนวโน้มกำไรเติบโตสูง ได้แก่ GULF ได้รับการจัดอันดับว่าเป็นบริษัทที่มีกำไรเติบโตสูงสุดในกลุ่มโรงไฟฟ้า ตามมาด้วย BCPG มีแนวโน้มกำไรเติบโตโดดเด่น และ GPSC คาดว่ากำไรจะเติบโตในปีนี้เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม แม้ภาพรวมจะเป็นบวก แต่ยังมีความกังวลสำหรับโรงไฟฟ้าบางประเภท โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าที่อิงกับนิคมอุตสาหกรรม (SPP) ความเสี่ยงหลักๆ ยังคงต้องติดตามว่าการใช้ไฟฟ้าในนิคมฯ จะเร่งตัวขึ้นได้หรือไม่ เนื่องจากปัจจุบันโรงไฟฟ้าในนิคมฯ ได้รับผลกระทบจากการควบคุมค่าเอฟทีอยู่ 

นอกจากนี้ การขยายตัวของนิคมฯ อาจไม่รวดเร็วอย่างที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้เกี่ยวกับการย้ายฐานการผลิต เนื่องจากสถานการณ์ทั่วโลกที่ทำให้หลายบริษัทชะลอการลงทุน แม้ว่าประเด็นภาษีจะมีความชัดเจนแล้วก็ตาม แต่ทว่านโยบายของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ต้องการดึงอุตสาหกรรมกลับไปยังสหรัฐอเมริกา ก็เป็นความเสี่ยงสำหรับโรงไฟฟ้าประเภท SPP เป็นหลักเช่นกัน

“กรรณ์ หทัยศรัทธา” หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุนและ นักเศรษฐศาสตร์สายงานวิจัย บล.ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาพรวมกลุ่มโรงไฟฟ้าช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มเป็น “บวก” ชัดเจน ทั้งในเชิงกลยุทธ์และพื้นฐาน ซึ่งที่ผ่านมานักลงทุนได้รับรู้ข่าวร้ายเรื่องค่าไฟฟ้าที่จะไม่ถึง 4 บาทต่อหน่วยไปแล้ว ซึ่งหมายความว่าตลาดได้ซึมซับประเด็นนี้ไปแล้ว และหากค่าไฟสามารถยืนอยู่ในระดับปัจจุบันได้ โรงไฟฟ้าก็สามารถบริหารจัดการได้

ส่วนเงินบาทแข็งค่าคาดสิ้นปีนี้จะยังคงอยู่ในกรอบ 32-34 บาทต่อดอลลาร์ หรือมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ซึ่งเป็นผลบวกต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า บวกกับผลประกอบการหุ้นโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่หลายตัวได้รายงานออกมาดีกว่าคาด โดยเฉพาะ GULF BCPG และ CKP อย่างไรก็ดีในไตรมาส 3 ปี 2568 คาดว่าจะยังคงดีต่อเนื่องสำหรับหลายบริษัท เช่น CKP ได้รับปัจจัยหนุนจากปัจจัยฤดูกาล ขณะที่ GULF มีการลงทุนต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าจะทำให้การเติบโตยังคงดำเนินต่อไป และหุ้นโรงไฟฟ้าเป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่จ่ายปันผลสูง

นอกจากนี้ หากอัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลงตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ซึ่งมีการประเมินว่าอาจลดลงเหลือ 1% เป็นอย่างน้อยจากการคาดการณ์ว่าจะมีการเข้ามาบริหารของรัฐบาลชุดใหม่

 

ที่มา. https://www.bangkokbiznews.com/finance/stock/1195189

 


ในหุบเขา