เดาใจ… เงินต่างชาติ “อยู่ต่อ” หรือ “ใกล้ตีจาก”
ภาวะตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์ที่ผ่านมา (5-9 ก.ย.59) ทำเอาหลายคนเสียศูนย์ ความมั่นใจหดหายเมื่อกดดูหุ้นในพอร์ตพบตัวแดงไล่เรียงขึ้นมา ขณะดัชนีฯ ร่วงหลุดระดับแนวรับสำคัญหลายครั้ง และเคลื่อนไหวผันผวนในลักษณะ Sideway down ตลอดทั้งสัปดาห์ แตกต่างจากภาพรวมตลาดหุ้นในภูมิภาคที่ส่วนใหญ่ทรงตัว หรือลดลงเพียงเล็กน้อย
ดราม่าเกิดขึ้นเมื่อการเทขายหุ้นในรอบนี้ น้ำหนักส่วนใหญ่เป็นของกลุ่มนักลงทุนสถาบัน ซึ่งสวนทางกับกลุ่มนักลงทุนต่างชาติที่ยอดซื้อสุทธิโดยรวมยังเป็นบวก และฝืนความรู้สึกของผู้ถือหน่วยกองทุนหลายรายที่บอกว่ายังไม่ทันทำอะไรกับพอร์ตกองทุนของตนในช่วงที่ผ่านมา จึงเกิดข้อสงสัยถึงเจตนาที่แท้จริงของการขายหุ้นไทยในรอบนี้
จากตัวเลขมูลค่าการซื้อขายตามกลุ่มนักลงทุนระหว่างวันที่ 1-9 ก.ย.59 พบว่า สถาบันในประเทศขายสุทธิเป็นอันดับ 1 รวมมูลค่า 8.17 พันล้านบาท ตามมาด้วยบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ที่ขายสุทธิรวม 4.27 พันล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังซื้อสุทธิรวม 3.62 พันล้านบาท สุดท้ายคือกลุ่มนักลงทุนทั่วไปในประเทศ ที่ซื้อสุทธิรวม 8.82 พันล้านบาท
จากข้อมูลแรงขายที่ทำเอาหลายคนสับสนในช่วงนี้ ทำให้ต้องย้อนกลับมาดูสัญญาณ Fund flow ที่แท้จริงกันว่า แนวโน้มหลังจากนี้เม็ดเงินมีโอกาสอยู่ หรือจะไหลออกไปแล้ว?
Money Channel สอบถามไปยังคุณภรณี ทองเย็น อุปนายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน และรองกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส ซึ่งบอกว่า ในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา เริ่มเห็นสัญญาณชะลอเข้าซื้อหุ้นของนักลงทุนต่างชาติ พร้อมกับมีแรงขายสลับออกมาเป็นระยะ
และถ้าเทียบภาวะตลาดหุ้นไทยกับประเทศกลุ่ม TIP ที่ประกอบด้วยอีก 2 ประเทศ คือ ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย พบว่าตลาดชะลอตัวเช่นกัน จึงเท่ากับเป็นการตอกย้ำว่าคงจะเป็นไปได้ยากที่จะมีเม็ดเงินนักลงทุนต่างชาติในปริมาณมากๆ ไหลเข้ามาสนับสนุนตลาดหุ้นไทยในระยะนี้ ขณะค่าเงินบาทก็มีสัญญาณทรงตัวและหยุดการแข็งค่าขึ้นแล้ว แม้ว่าจะมีปัจจัยหนุน Sentiment มาจากกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีโอกาสน้อยลงที่จะขึ้นดอกเบี้ยภายในปีนี้ก็ตาม
ส่วนแรงขายของนักลงทุนสถาบันนั้น ถ้าพิจารณาตามสถิติพบว่าในช่วงเดือน ก.ย.-ต.ค. มักจะเห็นแรงขายออกมาโดยตลอด จึงคาดว่าน่าจะเป็นเพียงการไถ่ถอนหน่วยลงทุนที่ครบกำหนด 5 ปีตามเกณฑ์ และปรับพอร์ตเพื่อลดความเสี่ยง ซึ่งโดยส่วนตัวมองว่ายังไม่เห็นการขายที่ผิดปกติแต่อย่างใด
แต่ถ้าย้อนกลับมาดูจากปัจจัยพื้นฐาน ดัชนี SET ที่ระดับ 1,450 จุด นับเป็นจุดทยอยซื้อที่น่าสนใจ และเชื่อดัชนีฯน่าจะไม่หลุด 1,430 จุด “เอเซียพลัส” ในเชิงกลยุทธ์จึงแนะนำเน้นเลือกหุ้นเป็นรายตัว ภายใต้ Theme “หุ้น Dividend Yield” ที่มีผลตอบแทนเป็นเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 4% และมี Upside เกิน 15% เพื่อป้องกันความเสี่ยงหากตลาดเกิดร่วงลงอีกในช่วง 1-2 เดือนนี้
ด้านนักวิเคราะห์ค่าย "ทิสโก้" ระบุว่า ปัจจุบันมีเม็ดเงินต่างชาติบางส่วนเริ่มขายหุ้นไทยออกมาแล้ว แต่ถ้าดูจากภาพรวมสุทธิยังเป็นบวกอยู่ เพราะแม้จะมีปัจจัยบวกการปรับเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทยตามดัชนี FTSE AW แต่พบต่างชาติซื้อสุทธิแค่กว่า 3 พันล้านบาทเท่านั้น ซึ่งน้อยกว่าที่คาดไว้ถึง 3.3 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้ ยังพบข้อมูลนักลงทุนต่างชาติสะสม Short SET50 Futures ต่อเนื่องตลอดช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา รวมกว่า 4 หมื่นสัญญา สวนทางกับที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิใน SET รวม 9.4 หมื่นล้านบาทในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งถือเป็นสัญญาณเตือนที่ต้องระวังการเปลี่ยนทิศทางของเงินทุนต่างชาติในอนาคต
แต่ “ ทิสโก้” มอง SET INDEX ในระดับ 1,420-1,430 จุด ถือว่าสะท้อนปัจจัยเสี่ยงในระดับหนึ่งแล้ว ขณะที่ต้นทุนถือครองหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งวัดจากรอบการซื้อสุทธิตั้งแต่เดือน ก.พ.จนถึงปัจจุบัน รวมกว่า 1.3 แสนล้านบาท จะอยู่แถวดัชนีฯ ราว 1,420 จุด โดยเป็นการคำนวณจากระดับต้นทุนของดัชนีฯ และค่าเงินเข้าด้วยกัน
โบรกเกอร์รายนี้ยังคงแนะนักลงทุนให้ “Wait & See" เพื่อรอประเมินสถานการณ์ใหม่ ให้มีความชัดเจนก่อน หรือ เก็งกำไรเพื่อหวังรีบาวด์ในหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานไม่ได้เปลี่ยน และภาพเทคนิคเข้าข่าย "Oversold"
***********************************************
ขอบคุณที่มาข้อมูลจาก
ชัยรัตน์ พุ่มมาลา ทีม Business&Finance, Money Channel