Q3 กำไร 48 ล้านบาท เท่ากับที่นักวิเคราะห์คาด แต่พอเทียบกับปีที่แล้วที่ฐานค่อนข้างสูง ทำให้กำไรดูโตน้อยลง ต่างกับ 2 ไตรมาสที่ผ่านมาที่กำไรโตระดับ 70-100%
..
ถ้ามาเริ่มที่รายได้ก่อน ก็ถือว่าทำได้ดีอยู่ คือ 249 ล้านบาท +32%
ถ้าเราลองมาคิดเล่น ๆ ว่า IVF เป็นเท่าไหร่
.
• สมมติว่าสัดส่วนเท่ากับครึ่งปีแรกคือ 15% รายได้ของ IVF จะอยู่ที่ 37 ล้านบาท
• ถ้ารายได้ต่อเคส 400,000 บาท ก็จะตก 93 เคสต่อไตรมาส หรือ 31 เคสต่อเดือน
• ด้วยหลักการคล้ายๆ กัน ปีที่แล้ว Q3’18 น่าจะได้ 18-20 เคสต่อเดือน เพิ่มขึ้นกว่า 50%
• ถ้า Q4 ทำได้ประมาณนี้ แปลว่าครึ่งปีหลังอย่างต่ำ ๆ ต้องมี 170-180 เคส
• พอมารวมกับครึ่งปีแรก 150 เคส ทั้งปีน่าจะเกิน 300 เคส อย่างที่ตั้งเป้าไว้แน่ ๆ
…
ปัญหาที่เห็นอาจไม่ใช่เรื่องจำนวนเคส IVF แต่เป็นสัดส่วนการถือหุ้นใน EKI มากกว่า
.
Q3 EKH ถือ EKI ลดลงจาก 84% เหลือ 74% และ
Q4 EKH ถือ EKI เหลือ 67%
เป็นการขายหุ้นคืนให้กับผู้ถือหุ้นเดิม ก็คือ เอเจนซี่เจ้าหลักที่เริ่มต้นมาด้วยกัน
..
======================
.
ความท้าทายต่อจากนี้คือ ต้องเพิ่มจำนวนเคสให้ได้มากขึ้น เพื่อชดเชยส่วนแบ่งที่ลดลง ต้องติดตามว่าจะทำได้ดีแค่ไหน มองในมุมนึงคือเอเจนซี่อาจมีแรงจูงใจในการหาลูกค้ามากขึ้น เพราะยิ่งหาได้เยอะ ก็ยิ่งได้ส่วนแบ่งเยอะ
.
ต่อมาในแง่ของต้นทุนขาย +34% และ SG&A +59%
.
ถ้าดูแบบนี้เหมือนว่าค่าใช้จ่ายจะดูบวม ๆ ซึ่งมาจากค่าเสื่อมที่เพิ่มขึ้นประมาณ 3 ล้านบาท ซึ่งน่าจะเป็นของพระราม 9 เป็นหลัก แต่ก็อาจจะมีของตึกใหม่นิดหน่อย แล้วก็ค่าส่งเสริมการขาย ค่าพนักงานที่คงเตรียมไว้รองรับตึกใหม่ ตรงนี้ยังไม่ชัดเจนว่าเป็นเพราะอะไรบ้าง เดี๋ยวไว้จะลองถาม IR ดูอีกทีครับ
..
แต่ถ้ามองในแง่ของ Valuation ผ่านมา 9 เดือน EPS 0.22 บาท ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด จบปีต่ำ ๆ ก็คงได้ 0.28-0.29 บาท คิดเป็น P/E ก็ประมาณ 20 นิด ๆ
..
===================
.
โดยสรุปแล้ว สิ่งที่เราต้องติดตามเรื่องราวของ EKH คือ
.
1. จำนวนเคสของ IVF จะเพิ่มขึ้นมากแค่ไหน และมากกว่าสัดส่วน 67% ที่ถือ EKI หรือไม่
2. ตึกใหม่ 60 เตียง น่าจะเปิดอย่างเป็นทางการเดือนนี้ จะดีแค่ไหน คนจะเต็มมั้ย
3. ค่าเสื่อมและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งตึกใหม่และพระราม 9 เป็นอย่างไร รายได้จะชนะค่าเสื่อมได้เลยมั้ย หรือต้องรอ
…
#EKH #วิตามินหุ้น