SCC กำไรฟื้น…แต่ราคาหุ้นยังไม่ไปไหน
แม้ SCC จะรายงานกำไรไตรมาส 2/2568 ที่ 3,707 ล้านบาท เพิ่มขึ้น YoY อย่างชัดเจน
และครึ่งปีแรกสามารถทำ EBITDA ได้ถึง 30,300 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่วางไว้
แต่ราคาหุ้นกลับยังเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบ ไม่ต่างจากช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
ราวกับว่าตลาดยังไม่กล้าตอบรับ “การฟื้นตัว” อย่างเต็มปาก

ย้อนกลับไปไม่กี่ปีที่แล้ว SCC เคยเป็นขวัญใจของนักลงทุนสาย VI
เพราะถือว่าเป็นธุรกิจที่หลากหลาย มั่นคง และเติบโตได้ทั้งจากปูนซิเมนต์ เคมีภัณฑ์ ไปจนถึงบรรจุภัณฑ์
แต่การเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจโลก วัฏจักรปิโตรเคมีที่ชะลอตัว และภาระต้นทุนก้อนใหญ่
ได้เปลี่ยนบทบาทของ SCC จาก “หุ้นมั่นคง” ไปเป็น “หุ้นต้องลุ้น”
และแม้วันนี้สัญญาณเชิงบวกจะเริ่มทยอยกลับมา
แต่สิ่งที่ตลาดยังรออยู่…คือความชัดเจนที่มากกว่าตัวเลขกำไรเพียงไตรมาสเดียว
จุดที่น่าสนใจของไตรมาสนี้ คือ SCC เริ่มปรับโครงสร้างธุรกิจเคมีภัณฑ์ผ่าน SCGC
โดยเฉพาะการลดสัดส่วนถือหุ้นใน PT Chandra Asri (CAP) อินโดนีเซีย
เพื่อลดภาระหนี้ เพิ่มสภาพคล่อง และเปิดทางให้บริษัทโฟกัสธุรกิจที่กำไรดีกว่า เช่น HVA หรือ Green Coating
ฟังดูดี…แต่ในมุมกลับ การลดสัดส่วนมากเกินไปก็เท่ากับสละบางโอกาสในตลาดอินโดนีเซีย
ซึ่งถือเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่ SCGC วางเป็นฐานหลักในอนาคต
นอกจากนี้ แม้ EBITDA จะฟื้น แต่ gross profit margin ยังไม่ได้ดีขึ้นอย่างชัดเจน
ราคาน้ำมันและต้นทุนพลังงานยังเป็นความเสี่ยงที่รอจังหวะกระทบ
และธุรกิจใหม่อย่าง SCI หรือสินค้าสีอุตสาหกรรม แม้จะมีโอกาส แต่ยังต้องใช้เวลาให้ตลาดรับรู้รายได้จริง
ในเชิงกลยุทธ์ นักลงทุนบางส่วนเริ่มมีคำถามว่า
“SCC ยังเป็นหุ้นที่เราควรถือเพื่ออนาคต หรือเป็นหุ้นที่ควรลดน้ำหนักเพื่อไปหาโอกาสอื่น?”
เพราะแม้ราคาหุ้นจะลงมามากจากจุดสูงสุด
แต่ก็ยังไม่ได้แสดงศักยภาพให้เห็นว่าจะ “กลับไปเติบโต” ได้อย่างมั่นใจในเร็ววัน
ในขณะที่ valuation ตอนนี้ก็ไม่ได้ถูกมากเมื่อเทียบกับ growth ที่ยังไม่แน่นอน
ดังนั้น หากคุณคือคนที่ “เชื่อในโครงสร้างใหม่ของ SCC”
การทยอยสะสมอาจพอมีจังหวะ
แต่ถ้าคุณมองหาหุ้น turnaround ที่แรงกว่านี้ และผลลัพธ์สั้น ๆ ที่ตอบไวกว่า
SCC อาจยังไม่ใช่ชื่อแรกที่ควรรีบกระโดดเข้าไป
การฟื้นตัวของบริษัทใหญ่…ต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งไตรมาส
และในเกมแบบนี้ ใครเข้าใจ cycle และความอดทนมากพอ
ก็อาจได้เห็นสิ่งที่คนอื่นยังมองไม่ออก
ที่มา. #หุ้นพอร์ทระเบิด