หุ้นเด่นวันนี้ ! 5 โบรกคัด 14 หุ้นปลอดภัย เน้น Selective-มีปัจจัยบวกเฉพาะ TNN Wealth
หุ้นน่าซื้อวันนี้ 10 มิ.ย. 65 โบรกมองหุ้นไทยวันนี้เคลื่อนไหว Sideways-down ในกรอบ 1,625-1,645 จุด จากปัจจัยเชิงลบมหภาค คาดตลาดมีโอกาสลดน้ำหนักการลงทุนรอดูรายงานเงินเฟ้อสหรัฐฯเย็นนี้ เน้นกลุ่มที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า การเคลื่อนไหวของ SET Index เมื่อวานนี้ปรับตัวขึ้นหนุนด้วย 3 กลุ่มอุตสาหกรรมหลักคือ 1. ธนาคารพาณิชย์ (ดัชนี SETBank ปรับตัวขึ้นถึง 3.0%) และ 2. กลุ่มประกันที่ปรับตัวสูงขึ้นหลังการประชุม กนง. ในวันก่อนหน้าส่งสัญญาณแนวโน้มการปรับใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวในช่วงที่เหลือของปี (อิงคาดการณ์จาก Bloomberg consensus อัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงสิ้นปี 2565 อยู่ที่ 0.70% เทียบเท่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอัตรา 0.20-0.25% 1 ครั้งในช่วง 3Q-4Q65)
3.กลุ่มท่องเที่ยวจากปัจจัยบวกเฉพาะตัวคือกระทรวงท่องเที่ยวฯ เตรียมเสนอ ศบค. ยกเลิก Thailand Pass นักท่องเที่ยวต่างชาติ ให้มีผล 1 ก.ค. รวมถึงการปรับคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวในการประชุม กนง. ล่าสุดจากเดิม 5.6 ล้านคนเป็น 6.0 ล้านคน
สำหรับปัจจัยต่างประเทศ เมื่อวานนี้การประชุม ECB ออกไปในทิศทางตึงตัวด้านนโยบายการเงิน โดยกล่าวว่าจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยขึ้น 0.25% ในการประชุมครั้งหน้าในเดือน ก.ค. และมีแนวโน้มปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในระดับที่มากขึ้นหลังการประชุมครั้งถัดไปในเดือน ก.ย. รวมถึงการให้มุมมองความกังวลต่อเงินเฟ้อที่จะยังทรงตัวในระดับสูงในช่วงที่เหลือของปี ซึ่งจะเป็นปัจจัยหลักกดดันการเติบโตของเศรษฐกิจในภูมิภาคยุโรป
ส่วนการแถลงผลการประชุม ECB ส่งผลให้สินทรัพย์ Safe Haven คือ (1) Dollar Index ปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับ 103.3 จุด และ (2) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 3.06% จากกระแสเงินทุนที่ไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยง ทั้งนี้ สินทรัพย์โภคภัณฑ์ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง – น้ำมันดิบ NYMEX ปิดทรงตัวที่ US$122/bbl ขณะที่ก๊าซธรรมชาติ UK ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 16% สู่ระดับ UKp151/therm จากการเกิดระเบิดของโรงก๊าซในสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม เราคาด SET Index วันนี้มีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหว Sideways-down ในกรอบ 1,625-1,645 จุด จาก Sentiment เชิงลบของปัจจัยมหภาค รวมถึงตลาดมีโอกาสลดน้ำหนักการลงทุนเพื่อรอการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อ (CPI) เดือน พ.ค. ของ สหรัฐฯ ในช่วงเย็นวันนี้ (ตลาดคาด +8.3 YoY)
ซึ่งเป็นประเด็น Highlight ของสัปดาห์ และจะเป็นตัวกำหนดทิศทางของตลาดหุ้นไปจนถึงการประชุม FOMC ในวันที่ 15 มิ.ย. เชิงกลยุทธ์แนะนำพักเงินในกลุ่ม ที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวและคาดเคลื่อนไหวได้ดีกว่าตลาดได้แก่ กลุ่ม ธนาคารพาณิชย์, ประกัน, ท่องเที่ยว และพลังงานต้นน้ำ
หุ้นเด่นตัวแรกคือ THREL หุ้นกลุ่มประกันได้ประโยชน์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น เนื่องจาก 1)การตั้งสำรองประกันระยะยาวลดลง 2)รายได้จากการลงทุนในตราสารหนี้ปรับตัวขึ้น เมื่อ Rollover ตราสารหนี้ที่ผลตอบแทนสูงขึ้น
คาดหลังสถานการณ์ COVID คลายตัวลงแล้ว จะส่งผลให้อุตสาหกรรมประกันชีวิตฟื้นตัวส่งผลบวกต่อธุรกิจประกันภัยต่อด้วยเช่นกัน จุดเด่นของบริษัท คือ เงินกองทุน (CAR) สูงถึง 387% vs เกณฑ์ของ คปภ. อยู่ที่ 140% เราคาดกำไรปี 2565 เติบโต +124% YoY เป็น 221 ลบ.
หุ้นเด่น ถัดมาคือ BBL เราประเมินว่าหุ้นกลุ่มธนาคารมี Momentum บวก และมีแนวโน้ม Outperform ตลาดโดยรวม หลังการประชุมกนง.ส่งสัญญาณถึงโอกาสขึ้นดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปี ซึ่งจะเป็นบวกในระยะถัดไปต่อกลุ่มธนาคารให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเร่งตัวขึ้น โดยจะได้รับผลบวกเต็มปีในปี 2566
สินเชื่อภาคธุรกิจที่กลับมาขยายตัวหลังสถานการณ์ COVID ดีขึ้นส่งผลให้ความต้องการใช้สินเชื่อเพื่อเป็นทุนหมุนเวียนเพิ่มขึ้นเป็นบวกต่อ BBL เนื่องจากมีฐานลูกค้า Corporate ในสัดส่วนสูง ขณะที่ Valuation ยังถูกที่ PBV เพียง 0.5 เท่า
หุ้นเด่น อีกตัวคือ BDMS หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลขนาดใหญ่มีปัจจัยบวก ได้แก่ 1)ความสามารถในการปรับขึ้นราคาเพื่อชดเชยเงินเฟ้อ 2)ผู้ป่วยต่างชาติฟื้นตัวเด่นตั้งแต่ เดือน มี.ค.ที่ผ่านมา รวมทั้งแรงหนุนจากลูกค้าตะวันออกกลางเนื่องจากเป็นชาติที่ได้ประโยชน์จากน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น
แนวโน้มกำไร 2Q65 คาดชะลอตัว QoQ จากผลกระทบตามฤดูกาล แต่เติบโตเด่น YoY ทั้งจากแรงหนุนของการรักษา COVID และการเปิดประเทศ เราคาดกำไรปกติปี 2565 เติบโต +28% YoY เป็น 9.9 พันลบ. และมี Upside Risk หากผู้ป่วยต่างชาติเร่งตัวได้ดีกว่าคาดในช่วงที่เหลือของปี
หุ้นเด่นสุดท้าย TTB ภาพทางเทคนิค แนวต้าน 1.32 บาท แนวรับ 1.26 บาท และ Stop loss หากต่ำกว่า 1.22 บาทหุ้นกลุ่มธนาคารได้ประโยชน์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นตั้งแต่ 4Q65 และรับผลบวกเต็มปีในปี 2566 รวมทั้งการเปิดเมืองส่งผลให้ความต้องการใช้สินเชื่อเพิ่มขึ้น และคุณภาพสินทรัพย์และความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ดีขึ้นหลังผ่านจุดต่ำสุดของ COVID
บล.เอเซียพลัส ผลประชุม ECB มีข้อสรุปที่ชัดเจนหลายประการเริ่มจากการหยุดทำ QE ตั้งแต่ 1 ก.ค.65 เป็นต้นไป ส่วนดอกเบี้ยนโยบายคงไว้ที่ 0.5% โดยจะปรับขึ้นในการ ประชุมเดือน ก.ค.65 สำหรับประมาณการ GDP Growth ปี 2565 ปรับลดลงจาก 3.7% เหลือ 2.8% ขณะที่ Inflation ปี 2565 ปรับเพิ่มเป็น 6.8% จากเดิม 5.1% ถือเป็นภาพรวมการเปลี่ยนแปลงที่สอดคล้องกันกับประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ ในอีก ด้านหนึ่งนักลงทุนรอตัวเลขเงินเฟ้อในสหรัฐฯ
ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะยังอยู่บริเวณ 8.3% ใกล้เคียงเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา สภาวะดังกล่าวเป็นแรงกดดันให้ตลาดหุ้น สหรัฐฯ เมื่อคืนปรับลดลงแรง และน่าจะสร้าง Sentiment เชิงลบต่อตลาดหุ้นบ้าน เราในเช้านี้
สำหรับ Investment Theme ช่วงนี้ยังให้น้ำหนัก ไปที่ หุ้นเปิดเมือง หุ้นที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น (ธนาคาร, ประกัน) และ Soft Commodity คาด SET Index มีโอกาสปรับฐานต่อด้วยแรงกดดันของเงินเฟ้อ และ ดอกเบี้ยจา ขึ้นกรอบ 1,625 – 1,645 จุด พอร์ตจำลองวันนี้ไม่ปรับเปลี่ยนแต่ให้ ยกจุด Stop Profit สูงขึ้น เงินสดสำรอง 10% หุ้น Top Pick เลือก BEM, BLA และ MAJOR
หุ้นเด่นตัวแรกคือ BLA ราคาเป้าหมาย 52 บาท ทิศทางกำไรดีต่อเนื่องในปี 2565กำไรสุทธิงวด 1Q65 เท่ากับ 801 ล้านบาท ฟื้นตัวถึง192%QOQ (แต่ลดลง 19% yoy เนื่องจากไม่ได้มีการบันทึกค่าใช้จ่ายพิเศษเหมือนงวดก่อนหน้า) ขณะที่ธุรกิจประกันภัยและธุรกิจลงทุนฟื้นตัวแนวโน้มกำไสุทธิปี 2565 จะปรับเพิ่มขึ้น 18% yoy จากธุรกิจประกันฟื้นตัว
ขณะที่คาดกำไรสุทธิงวด 2Q65 จะยังดีต่อเนื่องจากงวด 1Q65กำหนด Fair value ปี 2565 เท่ากับ 52 บาท แนะนำซื้อรับปัจจัยบวกจากแนวโน้ม Bond yield ที่เป็นขาขึ้น ส่งผลบวกต่อภาพรวมธุรกิจลงทุนของบริษัทประกันชีวิต
หุ้นเด่นตัวต่อมาคือ BEM ราคาเป้าหมาย 10.30 บาท
หุ้นเด่นตัวสุดท้ายคือ MAJOR ราคาเป้าหมาย 25 บาท
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการอาวุโส บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า วันนี้คาด SET ย่อตัว ในกรอบแนวรับ1,630 จุด และแนวต้าน 1,650 จุด
เน้นหุ้นแนวโน้มกำไรเด่น
โดยหุ้นเด่นวันนี้แนะนำ BEM ตัวเลขผู้ใช้บริการทั้งทางด่วนและรถไฟฟ้าค่อยๆฟื้นตัวขึ้นโดยเดือน เม.ย. +16%YOY และ21%YOY ตามลำดับ ผสานการ
เปิดเทอมแบบ onsite,การกลับมาทำงานที่ Office มากขึ้นรวมทั้งยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่สูงขึ้นจะเป็นแรงหนุนเพิ่มเติม อีกทั้งจะมีเงินปันผลรับช่วง 2065และความคาดหวังรถไฟสายสีส้มเป็นUpside เพิ่มเติมเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 11.62 บาท
หุ้นเด่นตัวต่อมาคือ MINT คาดกำไร 2Q65 ฟื้นตัวจากทั้งธุรกิจโรงแรมในยุโรปที่อัตราการเข้าพักแตะระดับ 63% ในเดือนเมษายน และราคาห้องพักเฉลี่ย
ใกล้เคียงช่วงก่อน COVID-19ส่วนไทยได้แรงหนุนจากมาตรการผ่อนคลายเข้าประเทศหนุนอัตราการเข้าพัก และราคาห้องพักเร่งขึ้นเช่นกันเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 42 บาท
บล.ไทยพาณิชย์ คาด SET มีแนวโน้มปรับลง ด้วยปัจจัยกดดันจาก 1. กังวลเงินเฟ้อเร่งตัว โดยคืนนี้ติดตามเงินเฟ้อสหรัฐในเดือนพ.ค. 2. การเร่งขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่างๆ และ 3. โควิดในจีน หลังมีการ lockdown บางแห่งในเมืองเซี่ยงไฮ้ ด้านกรอบล่างอยู่ที่ 1,630 จุด หากต่ำกว่าเป็นลบต่อ และมีแนวรับถัดไปที่ 1,622 จุด ส่วนกรอบบนจำกัดที่ 1,645-1,652 จุด
หุ้นเด่นวันนี้แนะนำ BBL (ราคาเป้าหมาย 163.00 บ.) ได้ประโยชน์จากวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น ขณะที่ Valuation น่าสนใจ โดยซื้อขายด้วย PBV 22F ต่ำที่ 0.5x เทียบกับ ROE ที่ 6.3% ทำให้เป็นหุ้น laggard play และมองราคาหุ้นยังไม่สะท้อนแนวโน้มกำไรที่เติบโตดีขึ้น รวมทั้งมีความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำที่สุดในกลุ่ม
หุ้นเด่นอีกตัวคือ BLA (ราคาเป้าหมาย 49.00 บ.) ช่วงสั้นคาดราคาหุ้นยังได้อานิสงส์บวกจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) ที่อยู่ในทิศทางขาขึ้น ขณะที่ปี 2565-2567 มองผลประกอบการจะฟื้นตัวต่อเนื่องจาก Margin ที่ปรับตัวดีขึ้น
ขณะที่ บล.กสิกรไทย มองดัชนีหุ้นไทยวันนี้จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,630-1,650 จุด โดยหุ้นเด่นวันนี้แนะนำ 3 ตัวคือ SCB ราคาปัจจุบัน 113.10 บาท ราคาเป้าหมาย 121.50 บาท ,BAM ราคาปัจจุบัน 19.10 บาท ราคาเป้าหมาย 20.60 บาท และ SSP ราคาปัจจุบัน 10.20 บาท ราคาเป้าหมาย 11.20 บาท
ศึกษาการลงทุนเพิ่มเติมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คลิกที่นี่
ที่มา : บล.หยวนต้า, บล.เอเซียพลัส, บล.เมย์แบงก์กิมเอ็ง (ประเทศไทย), บล.ไทยพาณิชย์ ,บล.กสิกรไทย
ภาพประกอบข่าว : AFP, TNN Online,