หวานน้อยจ่ายถูกกว่า เปิดเรต "ภาษีความหวาน" เฟส 4 ใครได้ใครเสีย
ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2568 ภาษีความหวาน เฟส 4 บังคับใช้แล้ว ผู้บริโภคที่เลือก "โลว์ชูการ์" เตรียมจ่ายถูกลง เช็คอัตราภาษีใหม่และผลกระทบต่อกระเป๋าเงินของคุณได้ที่นี่
เริ่มต้นเมษายน 2568 เป็นต้นไป ผู้บริโภคหลายคนอาจเริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้ากลุ่มเครื่องดื่ม โดยเฉพาะที่มีปริมาณน้ำตาลสูง นั่นเป็นผลมาจากการบังคับใช้ "ภาษีความหวาน" ในอัตราใหม่ หรือที่เรียกกันว่า "เฟส 4" ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อลดการบริโภคเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลมากเกินไป และส่งเสริมสุขภาพของประชาชนในระยะยาว
ภายใต้โครงสร้างภาษีใหม่นี้ เครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลตั้งแต่ 6 กรัมต่อลิตรขึ้นไป จะถูกจัดเก็บภาษีในอัตราที่สูงขึ้นตามระดับความหวาน ทำให้ผู้ผลิตหลายรายต้องแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น คำถามสำคัญคือ ภาระนี้จะถูกส่งต่อมายังผู้บริโภคในรูปแบบของการปรับขึ้นราคาหรือไม่?

จากการสำรวจเบื้องต้น พบว่าผู้ผลิตบางรายได้ทยอยปรับราคาสินค้าที่มีน้ำตาลสูงขึ้นแล้ว ในขณะที่บางรายเลือกที่จะตรึงราคาเดิมไว้ก่อน แต่หันไปให้ความสำคัญกับการพัฒนาและส่งเสริมผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณน้ำตาลน้อยลง หรือ "โลว์ชูการ์" มากขึ้น เพื่อลดผลกระทบจากภาษี
การจัดเก็บภาษีความหวานดำเนินการตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 โดยมีโครงสร้างอัตราภาษีแบบหลายระดับ ซึ่งจะจัดเก็บภาษีสรรพสามิตตามปริมาณความหวานหรือปริมาณน้ำตาลที่อยู่ในสินค้า
กรมสรรพสามิตมีวัตถุประสงค์หลักในการบังคับใช้มาตรการนี้ เพื่อให้ราคาสินค้าที่มีปริมาณน้ำตาลเกินกว่าเกณฑ์มาตรฐานปรับตัวสูงขึ้น อันจะนำไปสู่การลดการบริโภคเครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำตาลของผู้บริโภค และส่งผลดีต่อสุขภาพของประชาชนในภาพรวม ผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีดังกล่าว ได้แก่ ผู้นำเข้าสินค้า และผู้ประกอบอุตสาหกรรมผลิตสินค้าที่มีส่วนผสมของน้ำตาล
"ภาษีความหวาน" เฟส 4 ใครได้ใครเสีย
นับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2568 เป็นต้นไป โครงสร้าง "ภาษีความหวาน" เฟส 4 ได้มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ ส่งผลให้ราคาเครื่องดื่มหลายชนิดในตลาดมีการปรับเปลี่ยนไปตามปริมาณน้ำตาลที่บรรจุอยู่ โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อส่งเสริมให้ผู้บริโภคหันมาใส่ใจสุขภาพและลดการบริโภคเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง
ภายใต้โครงสร้างภาษีใหม่นี้ เครื่องดื่มจะถูกแบ่งตามปริมาณน้ำตาลต่อ 100 มิลลิลิตร และมีอัตราภาษีที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อราคาขายปลีก ดังนี้
กลุ่มที่ได้ประโยชน์ จ่ายถูกลง หรือราคาไม่เปลี่ยนแปลงมาก
- เครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลน้อยกว่า 6 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร เครื่องดื่มในกลุ่มนี้จะได้รับการยกเว้นภาษี หรือเสียภาษีในอัตราที่ต่ำมาก ทำให้ราคาขายปลีกไม่ได้รับผลกระทบมากนัก หรืออาจมีแนวโน้มราคาถูกลงได้ หากผู้ผลิตปรับสูตรลดปริมาณน้ำตาลลง
- น้ำเปล่า และเครื่องดื่มที่ไม่เติมน้ำตาล กลุ่มนี้ยังคงไม่มีการจัดเก็บภาษี
- ผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ ผู้ที่เลือกบริโภคเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลน้อยลง จะได้รับประโยชน์จากราคาที่ถูกลง หรือคงเดิม
กลุ่มที่เสียประโยชน์ จ่ายแพงขึ้น
- เครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลตั้งแต่ 6 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตรขึ้นไป ครื่องดื่มในกลุ่มนี้จะเสียภาษีในอัตราที่สูงขึ้นตามระดับความหวาน โดยอัตราภาษีจะเพิ่มขึ้นเป็นขั้นบันได ยิ่งมีน้ำตาลมากเท่าไหร่ อัตราภาษีต่อลิตรก็จะสูงขึ้นเท่านั้น
- ผู้ผลิตเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง ผู้ผลิตกลุ่มนี้จะต้องแบกรับภาระต้นทุนภาษีที่สูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ต้องปรับราคาสินค้าขึ้น หรืออาจต้องปรับสูตรผลิตภัณฑ์เพื่อลดปริมาณน้ำตาลลง
- ผู้บริโภคที่ยังคงนิยมเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง ผู้บริโภคกลุ่มนี้จะต้องจ่ายเงินมากขึ้นสำหรับเครื่องดื่มที่ชื่นชอบ
เปิดเพดาน ภาษีความหวาน เฟส 4
อัตราภาษีความหวาน เฟส 4 (ต่อลิตร):
- ปริมาณน้ำตาล 0-6 กรัม คิดอัตราภาษี 0 บาทต่อลิตร
- ปริมาณน้ำตาล 6-8 กรัม คิดอัตราภาษี 1 บาทต่อลิตร
- ปริมาณน้ำตาล 8-10 กรัม คิดอัตราภาษี 3 บาทต่อลิตร
- ปริมาณน้ำตาล 10-14 กรัม คิดอัตราภาษี 5 บาทต่อลิตร
- ปริมาณน้ำตาล 14-18 กรัม คิดอัตราภาษี 5 บาทต่อลิตร
- ปริมาณน้ำตาล ตั้งแต่ 18 กรัม คิดอัตราภาษี 5 บาทต่อลิตร
การปรับขึ้นภาษีความหวานในครั้งนี้ ถือเป็นมาตรการสำคัญของภาครัฐในการดูแลสุขภาพของประชาชนในระยะยาว และคาดว่าจะส่งผลให้ผู้บริโภคมีทางเลือกในการบริโภคเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น ในขณะเดียวกัน ผู้ผลิตก็ต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้
ผู้บริโภคควรสังเกตฉลากโภชนาการและปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มก่อนตัดสินใจซื้อ เพื่อให้สามารถเลือกบริโภคสินค้าที่ตรงกับความต้องการและงบประมาณของตนเองภายใต้โครงสร้างภาษีใหม่นี้ ทั้งนี้ภาษีความหวานเฟส 4 ตาม พ.ร.บ.สรรพสามิต พ.ศ. 2560 เดินหน้าเต็มพิกัด 1 เมษายน 2568 นี้ หวังคุมเข้มปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่ม ผู้ผลิต
ที่มา https://www.thansettakij.com/business/marketing/623753