ห้องเม่าปีกเหล็ก

ปรับกลยุทธ์รับ "ดอกเบี้ยขาขึ้น" สินทรัพย์ไหน "รุ่ง" หรือ "ร่วง"

โดย ฮ นกฮูก
เผยแพร่ :
63 views

ชู “5 ตลาดหุ้น” สู้ดอกเบี้ยขาขึ้น...“ไทย-เอเชียแปซิฟิก-ญี่ปุ่น-จีน-เวียดนาม” ราคาถูก-กำไรโตดี ส่วน “ทองคำ-น้ำมัน” มีติดพอร์ตไว้ไม่เกิน 5-10% !!!

สาระ Fund วันละนิด: ในวันที่ไม่มีอะไรเซอร์ไพรส์ เมื่อ “ธนาคารกลางสหรัฐ” (FED) เปิดยุทธการสกัดเงินเฟ้อสูงด้วยการขึ้นดอกเบี้ย 0.75% มาสู่ระดับ 1.50 -1.75% นับเป็นดีกรีการปรับขึ้นที่สูงที่สุดในรอบ 30 ปี นับตั้งแต่ปี1994 เลยทีเดียว


และคงยังไม่จบลงง่ายๆ หลัง FED ส่งสัญญาณจะขยับดอกเบี้ยไปจบที่ 3.5% ในสิ้นปีนี้ นั่นหมายถึงดอกเบี้ยจะยังปรับขึ้นได้อีก +1.75% ภายในสิ้นปีนี้ ส่วนขนาดของการปรับจะดีกรีไหนนั้น คงต้องรอดูผลจากขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้ จะสะกดเงินเฟ้อได้ผลมากน้อยแค่ไหนเป็นสำคัญ


ที่แน่ๆ “หุ้นเติบโต” (Growth Stock) ในตระกูล “หุ้นเทคโนโลยี” คงยังลืมตาอ้าปากไม่ได้ในช่วง “ดอกเบี้ยขาขึ้น” เช่นนี้ เลี่ยงได้ก็เลี่ยงไปก่อน


อย่างไรก็ตามในภาพรวมแล้ว “หุ้น” ยังเป็นสินทรัพย์ที่ดีสุด โดดเด่นสุด ในการรับมือกับดอกเบี้ยขาขึ้นเช่นนี้ เพียงแต่จะต้องเลือกหน่อยเท่านั้นเอง


ในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นเช่นนี้ สินทรัพย์ไหนจะ “รุ่ง” สินทรัพย์ไหนจะ “ร่วง” ตามทีมงาน ‘Wealthythai’ ไปค้นหาคำตอบพร้อมๆ กันได้เลย

ชี้ “สหรัฐ” ขึ้นดอกเบี้ยรอบนี้ไม่น่ากลัว...“หุ้น” ยังน่าสนใจสุด-ชู “หุ้นไทย-หุ้นเอเชียแปซิฟิก-หุ้นญี่ปุ่น-หุ้นจีน” ราคาถูก-กำไรโตดีน่าสนใจสุด

“เงินเฟ้อสูง” ไม่ได้เกิดขึ้นทั่วโลก แต่ไปหนักเอาใน ‘สหรัฐ’ และ ‘ยุโรป’ ที่ไต่ระดับมาอยู่ที่ 7-8% ในขณะที่ภูมิภาคอื่น เช่น ญี่ปุ่น, จีน และเอเชียบางประเทศไม่ได้สูงขนาดนั้น นี่ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีอย่างหนึ่ง และสิ่งที่สหรัฐกังวลก็คือตัวเลขเงินเฟ้อที่อาจจะสูงไปแตะระดับ 2 หลัก จึงต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยสกัดเอาไว้ก่อน


โดย “นาวิน อินทรสมบัติ” Chief Investment Officer (รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุนต่างประเทศ) บลจ.กสิกรไทย มองว่า การขึ้นดอกเบี้ยของ “ธนาคารกลางสหรัฐ” (FED) ในรอบนี้เพื่อสกัดเงินเฟ้อนั้นตลาดสะท้อนไปที่ระดับดอกเบี้ย 3.0-3.5% แล้ว ซึ่งไม่ใช่ระดับที่น่ากังวลแต่ประการใดเพราะในช่วงก่อนวิกฤติการเงินโลกนั้น ดอกเบี้ยของ FED เฉลี่ยอยู่ที่ 4 -6% ยังสูงกว่าในตอนนี้ ซึ่ง FED คงรอดูผลกระทบของการขึ้นดอกเบี้ยว่าจะไปช่วยลดการบริโภคลงได้หรือไม่ เมื่อคนรู้สึกว่าความมั่งคั่งของตัวเองลดลงก็จะใช้จ่ายลดลง ปัญหาราคาอสังหาริมทรัพย์ที่สูงก็น่าจะชะลอตัวลงเพราะต้นทุนกู้ซื้อบ้านปัจจุบันสูงถึง 6% จากในปีก่อนที่ประมาณ 3% เท่านั้น ถ้าการขึ้นดอกเบี้ยดึงเงินเฟ้อให้ชะลอตัวลงได้ แรงกดดันของเงินเฟ้อก็จะลดลง

หุ้น...ยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นเช่นนี้ โดยหุ้นที่เรามีมุมมอง ‘เชิงบวก’ ได้แก่ หุ้นไทย มี Forward P/E 2022 ที่ 17.4 เท่า, หุ้นญี่ปุ่น 12.3 เท่า, หุ้นเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) 12.7 เท่า และหุ้นจีน A-Share 10.4 เท่า ซึ่งได้รับผลกระทบจากสงครามยูเครและรัสเซียนน้อย และเป็นภูมิภาคที่เศรษฐกิจยังแข็งแกร่ง เงินเฟ้อไม่สูง ที่สำคัญมูลค่าไม่สูงอยู่ในระดับที่น่าสนใจกว่าสหรัฐหรือยุโรป ในณะที่อัตราการเติบโตของกำไรยังดีอยู่เฉลี่ยมากกว่า 10% จึงเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีเมื่อเทียบกับความเสี่ยง”


นอกจากนี้ ผู้ลงทุนควรกระจายการลงทุนบางส่วนไปยังกองทุนสินทรัพย์ทางเลือกอย่าง ‘กองทุนน้ำมัน’ และ ‘กองทุนทองคำ’ ในสัดส่วนไม่เกิน 5-10% ของพอร์ต โดยเรามีมุมมองที่ “เป็นกลาง” ต่อสินทรัพย์ทั้ง 2 ประเภท



คงเป้า “หุ้นไทย” 1,750 – 1,800 จุด ส่วน
Down side 1,550 จุด รับอยู่...แนะจังหวะลุย “หุ้นเวียดนาม” ไม่แพง-พื้นฐานแกร่ง-กำไรโตสูง 22-23%

ในขณะที่ปีนี้จะเห็นว่า “หุ้นอาเซียน” Perform ได้ค่อนข้างดี หลังจากที่ช่วง 2-3 ปีก่อนเป็นตลาดที่นักลงทุนไม่สนใจเพราะเป็นกลุ่ม Old Economy ไม่น่าสนใจเหมือนหุ้นในกลุ่ม New Economy อย่างไรก็ตามในปีนี้หุ้นกลุ่มอาเซียนก็กลับมาได้รับความสนใจของนักลงทุนอีกครั้ง


“ธิดาศิริ ศรีสมิต” Chief Investment Officer (รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน) บลจ.กสิกรไทย มองว่า “หุ้นไทย” และ “หุ้นเวียดนาม” เป็น 2 ตลาดที่น่าสนใจและเรามีมุมมอง ‘เชิงบวก’ โดยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในหุ้นไทยแล้วกว่า 1.3 แสนล้านบาท แม้ระยะสั้นตลาดยังคงผันผวนจากความกังวลต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED ก็ตาม แต่บริษัทยังคงเป้าหมายดัชนีสิ้นปี22 ที่ 1,750 -1,800 จุด โดยในส่วนของ 1,800 จุด อาจจะเป็นไปได้ยากในตอนนี้ถ้าเงินเฟ้อไม่ลง ราคาน้ำมันไม่ลง แต่ถ้าไม่เกิดการระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่ การเปิดประเทศกิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาระดับ 1,750 จุด เป็นไปได้ โดยมอง Downside ของตลาดที่ 1,550 จุด น่าจะรับอยู่ เพราะมีกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ที่คอยพยุงดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ ทั้งกลุ่มพลังงานที่มีสัดส่วนราว 25% ของตลาดหุ้นไทย ที่ได้รับปัจจัยหนุนจากราคาน้ำมันที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง รวมถึงกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่มีสัดส่วนราว 10% ของดัชนีตลาดหุ้นไทย จะได้รับปัจจัยหนุนจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น

“สำหรับหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจ ได้แก่ หุ้นที่มีการเติบโตที่แน่นอน ได้แก่ Healthcare / Finance มีหุ้นที่มีโอกาสฟื้นตัวสูง ได้แก่ Bank / Commerce / Media / Transportation และหุ้นที่ได้รับประโชน์จากการเปิดประเทศ ได้แก่ Property (I/E, Commercial) / Tourism related โดยในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นนี้กลุ่ม ‘หุ้นขนาดใหญ่’ น่าจะปรับตัวต่อต้นทุนการเงินที่เพิ่มสูงขึ้นได้ดีกว่าหุ้นขนาดกลาง-เล็ก ดังนั้นหุ้นขนาดใหญ่น่าจะ Perform ได้ดีกว่าในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นเช่นนี้”


ส่วน “ภาษีหุ้น” ในส่วนนี้กองทุนของเราคงไม่ได้รับผลกระทบเพราะเราเป็นกองทุนที่ลงทุนรยะยาวมีความถี่ในการซื้อขายต่ำ โดยกองทุนที่คาดว่าจะรับผลกระทบจะเป็นกองทุนที่ใช้ระบบ AI ในการเทรด ซึ่งเป็นโปรแกรมเฉพาะในการซื้อ-ขายและจะมีความถี่มากกว่าในการซื้อและขายทำกำไร แต่ก็จะมีสภาพคล่องบางส่วนหายไปเพราะสัดส่วนประมาณ 30% ของมูลค่าเทรดมาจากโปรแกรมเทรดทำให้ความน่าสนของตลาดหุ้นไทยลดลงได้เช่นกัน


ส่วน “หุ้นเวียดนาม” หลังจากราคาปรับตัวลงมาในช่วงเดือนเม.ย.จากการที่ภาครัฐไปควบคุมการปั่นหุ้นนั้น ในแง่ของพื้นฐานไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง ปัจจุบันมูลค่าถูกมี P/E ประมาณ 12 เท่า ในขณะที่มีอัตราการเติบโตของกำไร 22-23% มองไปข้างหน้าระยะ 3 – 5 ปี จึงเป็นตลาดที่น่าสนใจมาก แนะนำให้ทยอยเข้าลงทุนได้ ค่าเงินดองเองก็ค่อนข้างมีเสถียรภาพ ตั้งแต่ต้นปีมาอ่อนค่าน้อยกว่าเงินบาทอีก ที่สำคัญในอนาคตมีโอกาสจะถูกเลื่อนชั้นไปอยู่ในดัชนีหุ้นตลาดเกิดใหม่ ซึ่งจะส่งผลให้มีเงินลงทุนไหลเข้าตลาดหุ้นเวียดนามอีกมากจากปัจจุบัน



เชื่อ “แบงก์ชาติ” ขึ้นดอกเบี้ยไม่ได้ช่วยเรื่องเงินเฟ้อ...แนะ
‘เลี่ยงตราสารหนี้ระยะยาว’-เข้าลงทุน ‘กองตราสารหนี้ระยะสั้น-กองตราสารหนี้ระยะกลาง’

หันมามองดอกเบี้ยนโยบายของไทยนั้น ตลาดมองว่า จะมีการปรับขึ้นเช่นเดียวกันหลังจากที่ FED มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยแรงไป 0.75% ไป ซึ่งปัจจุบันตลาดสะท้อนว่าดอกเบี้ยไทยจะอยู่ที่ระดับ 1.75 – 2.25% ไปแล้ว


โดย “ชัชชัย สฤษดิ์อภิรักษ์” Chief Investment Officer (รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน) บลจ.กสิกรไทย บอกว่า บริบท “เงินเฟ้อสูง” ของไทยต่างจากสหรัฐ ของไทยเงินเฟ้อจากด้านซัพพลาย ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยไม่ได้ช่วยอะไร แต่สุดทาย “ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)” ก็คงจะมีการปรับขึ้นแต่คงไม่มากอะไรเพราะต้องประคองเศรษฐกิจเอาไว้ด้วย ที่สำคัญการขึ้นดอกเบี้ยก็ไม่ได้ช่วยอะไรเรื่อง “ค่าเงินบาทอ่อน” แต่ประการใด ก่อนหน้านี้ ‘มาเลเซีย’ และ ‘เกาหลีใต้’ ปรับขึ้นดอกเบี้ยไป ค่าเงินของ 2 ประเทศก็ยังอ่อนค่าอยู่ดี

“แม้ปัจจัยพื้นฐานโดยรวมจะยังคงดีอยู่ และ Yield Curve ได้สะท้อนภาพการขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว แต่ในช่วงเวลานี้ตลาดจะยังมีความผันผวนอยู่บ้าง ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาลงทุนในกองทุนตราสารหนี้โดยหลีกเลี่ยงตราสารหนี้ทีมีอายุยาว เลือกพักเงินใน ‘กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น’ และหากรับความผันผวนของราคาได้ก็สามารถทยอยลงทุนใน ‘กองทุนตราสารหนี้ระยะกลาง’ ได้ เพราะปัจจุบันอัตราผลตอบแทนในตลาดได้สะท้อนการปรับขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว ปัจจุบันเรายังชอบตราสารหนี้ไทยมากกว่าตราสารหนี้ต่างประเทศ”


ในช่วง “ดอกเบี้ยขาขึ้น” เช่นนี้ การขยับปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือก็เป็นสิ่งที่ละเลยไม่ได้ เพราะหากไปอยู่ “ผิดที่-ผิดทาง” ผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่พึงประสงค์ได้เช่นกัน และสิ่งสำคัญก็คือ “Stay Invest” โดยจัดสรรเงินลงทุนอย่างเหมาะสมให้สอดคล้องกับสถานการณ์จะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายทางการเงินที่วางเอาไว้ได้เช่นกัน 

 

 

 

 


ฮ นกฮูก