การเติบโตทางด้านเศรษฐกิจอันน่ามหัศจรรย์ ในประวัติศาสตร์โลกที่มีการบันทึกเอาไว้มี 2 ประเทศดังนี้คือ :
1) ประเทศญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดย เติบโตเฉลี่ย 10% ติดต่อกันนาน 23 ปี คือ ระหว่างปี ค.ศ 1950 - 1973 แล้วฟองสบู่ญี่ปุ่นก็แตกในปี ค.ศ 1989 จุดสูงสุดตลอดกาลของ Nikkei อยุ่ที่ 38,915 จุดเมิ่อวันที่ 29 ธันวาคม ปี ค.ศ 1989 และ ตลอดระยะเวลา 29 ปี หลังจากนั้นมาจนถึงปัจจุบันคือปี ค.ศ 2018 Nikkei ไม่เคยปรับตัวขึ้นไปถึงจุดสูงสุดตลอดกาลที่ 38,915 จุดได้เลย
2) ประเทศจีนหลังการปฏิรูปของประธานาธิบดี เต้ง เสี่ยวผิง โดย เติบโตเฉลี่ย 9.9% ติดต่อกันนานถึง 33 ปี คือ ระหว่างปี ค.ศ 1978 - 2011 อย่างไรก็ตาม ฟองสบู่จีนยังไม่แตก แต่เป็นการลดระดับความร้อนแรงหรือลดระดับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจลงมาตํ่ากว่า 9.9% ระหว่างปี ค.ศ 2012 - 2015 ( 3 ปี ) และ ตํ่ากว่า 7% ระหว่างปี ค.ศ 2015 - 2017 ( 3 ปี ) และ ผู้โพสต์คาดว่าเศรษฐกิจจีนจะโตตํ่ากว่า 7% อย่างต่อเนื่องไปจนถึงปี ค.ศ 2021 ในขณะเดียวกันในระยะ 2 - 3 ปีที่ผ่านมา หนี้สินภาคเอกชนของจีนได้มีการ เพิ่มขึ้นอย่างมโหฬาร มหาศาล อีกทั้งพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนชาวจีนก็มีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายเกินตัวมากขึ้นเรื่อยๆและเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากรัฐบาลจีนที่สนับสนุนการใช้จ่ายภายในประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ให้ตกตํ่า โดยการออกนโยบายให้ธนาคารต่างๆ ปล่อยสินเชื่อแบบลดแลกแจกแถม หรือ กู้ไปก่อนผ่อนทีหลัง ให้กับภาคเอกชนและประชาชนชาวจีน แล้วในที่สุดก็จะทําให้ฟองสบู่จีนแตกในเวลาต่อมา
ผู้โพสต์คาดว่าฟองสบู่จีนน่าจะแตกในปี ค.ศ 2021 เมื่อ Fed Fund Rate ปรับตัวขึ้นไปอยู่ในระดับ 4.00 - 4.25% โดย มีสาเหตุมาจากหนี้สินภาคเอกชนและประชาชนชาวจีนที่มีอยู่จํานวนมโหฬาร มหาศาล ที่จะทนต่อแรงกดดันของสภาวะดอกเบี้ยที่สูงๆไม่ได้ และ น่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่จะทําให้ลุกลามบานปลายไปเป็นฟองสบู่โลกแตกในที่สุด และ ผู้โพสต์ขอคาดการณ์ต่อไปอีกว่า " ฟองสบู่ครั้งต่อไปจะรุนแรงที่สุดในโลก? "
หมายเหตุ : 1) ก่อนวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์นั้น Fed Fund Rate ได้ปรับตัวจากจุดตํ่าสุดที่ 1.00% ( Down Jones ที่จุดตํ่าสุดที่ 7,117 จุด ) ไปยังจุดสูงสุดที่ 5.25% ( Down Jones ที่จุดสูงสุดที่ 14,167 จุด ) โดยใช้เวลา 3 ปี คือปี พ.ศ 2546 ถึงปี พ.ศ 2549 อย่างไรก็ตาม ฟองสบู่ครั้งต่อไปน่าจะใช้เวลาจากปลายปี พ.ศ 2558 ( เมื่อ Fed Fund Rate ปรับตัวจากจุดตํ่าสุดที 0.25% ) จนกระทั่งถึงปี พ.ศ 2564 ( เมื่อ Fed Fund Rate ปรับตัวขึ้นไปอยู่ที่จุดสูงสุดที่ 4.25% ) โดยใช้เวลา 6 ปี
2) อนึ่ง ฟองสบู่ที่เกิดขึ้นในอดีต ส่วนใหญ่เกิดจากนโยบายภาครัฐบาลทั้งนั้น ยกตัวอย่าง ดังนี้คือ :
2.1) วิกฤติต้มยํากุ้ง เมื่อปี ค.ศ 1997 มีสาเหตุมาจากการปล่อยเสรีภาคการเงิน โดยอัตราแลกเปลี่ยนยังคงที่ ของภาครัฐ
2.2) วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ เมื่อปี ค.ศ 2008 มีสาเหตุมาจากการส่งเสริมให้ประชาชนมีบ้านเป็นของตัวเอง แล้วให้สถาบันการเงินสนับสนุนสินเชื่อที่อยู่อาศัยให้กับประชาชนชาวอเมริกัน ในสมัยรัฐบาล George W. Bush
2.3) วิกฤติหนี้สินยุโรป เมื่อปี ค.ศ 2010 มีสาเหตุมาจากการก่อหนี้ภาครัฐ ทั้งนโยบายประชานิยม และ ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแล้งไม่ได้ใช้งานให้คุ้มค่าต่อการลงทุน
เป็นต้น
3) โปรดติดตามรายละเอียดการลงทุนใน สภาวะตลาดกระทิง, ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างขาขึ้นรอบใหญ่, สภาวะตลาดหมี และ ธุรกิจถ่านหินขาขึ้นรอบใหญ่ ได้ใน longtunbysak.blogspot.com