ห้องเม่าปีกเหล็ก

[ตอนที่ 5] บทความแปลหนังสือ by cmFX ” Price Pattern : Martin Pring on Price Patterns”

โดย cmfx
เผยแพร่ :
67 views

-------------------------------------------------------

บทความตอนที่ผ่านๆ มาอ่านได้จาก: www.chiangmaifx.com/component/content/article/93-article-by-cmfx/808-price-patterns.html

www.facebook.com/275391639215535/photos/pcb.1603468543074498/1603467323074620/

-------------------------------------------------------

 กฎการหาแนวรับ/แนวต้านที่มีสำคัญ

ณ จุดนี้คุณอาจจะสงสัยว่า "แล้วฉันรู้จะได้อย่างไรว่าระดับแนวรับ/แนวต้านแต่ละจุดมีความสำคัญขนาดไหน" ที่จริงคำตอบไม่มีอะไรตายตัวนักหรอก เพียงแต่มันมีกฎทั่วไปบางข้อที่คุณสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางได้

  1. จำนวนหลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนมือในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง - ยิ่งมีพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคามากเท่าไหร่ ในพื้นที่นั้นก็ยิ่งมีโอกาสเป็นแนวรับ/แนวต้านที่สำคัญมากขึ้น

กฎนี้จะเห็นได้ชัดเจนในทุกครั้งที่นักลงทุนจำนวนมากที่อยู่ในตลาดเจาะจงซื้อ/ขายในราคาใดราคาหนึ่งโดยเฉพาะ ก็อย่างที่เคยพูดไปแล้ว ผู้ขายก็จะขอให้ได้ราคาที่ตัวเองคุ้มทุน ในขณะที่ผู้ซื้อก็อยากจะซื้อในราคาที่ต่ำกว่าเดิม และรอซื้อคืนที่ราคาบนแนวต้านที่ถูกตรึงไว้ก่อนหน้า เพราะพวกเขาต้องการทำกำไรเพื่อขายในครั้งต่อไป

  1. ยิ่งการเคลื่อนไหวของราคาก่อนหน้านี้ความเร็วและขยายออกไปมากขึ้น ราคานั้นก็ยิ่งมีโอกาสเป็นแนวรับ/แนวต้านที่สำคัญมากขึ้นตาม

ในที่นี้ ความพยายามที่จะผ่านแนวต้านอาจเทียบได้กับคนที่พยายามพังประตู ถ้าเขาเริ่มพุ่งเข้าหาประตูที่ระยะห่างแค่ 10 หรือ 12 ฟุต เขาก็จะมีโมเมนตัมมากพอที่จะพังประตูได้ แต่ถ้าเขาอยู่ห่างออกไปตั้ง 100 ฟุต กว่าจะมาถึงประตูความเร็วก็ลดลงจนไม่สามารถพังประตูได้แล้ว ในที่นี้ประตูก็เปรียบเสมือนเป็นแนวต้าน และเราสามารถนำหลักการนี้ไปใช้กับพฤติกรรมตลาดได้ การไต่ระดับราคาที่มีระยะทางยาวและสูงชันก็คล้ายกับการวิ่ง 100 ฟุต โดยมีแนวต้านคือประตูนั่นเอง ยิ่งราคาก่อนหน้านี้มีการแกว่งตัวสูงขึ้นเกินจากฐานมากขึ้นเท่าไหร่กรอบแนวต้าน/แนวรับก็ยิ่งแคบลงเพื่อชะลอความร้อนแรงของมัน

Chart 3-8 เป็นดัชนีในภาคส่วนของธนาคารพาณิชย์ Bank Commercials Index (ค่าเฉลี่ยของหุ้นในตลาดหลักทรัพย์อิตาลี) ที่ปรับลดลงสู่ระดับต่ำสุดในเดือนสิงหาคม จากนั้นจึงค่อยปรับระดับขึ้นอีกครั้ง อย่างไรก็ตามราคาที่ลดลงในรอบต่อมามีลักษณะที่ชันมาก ดังนั้นเมื่อดัชนีทรุดตัวลงจนถึงแนวรับที่ระดับ 880 จุดมันก็จะหมดแรงเทขายและผู้ขายก็ไม่สามารถดันราคาให้ทะลุผ่านแนวรับนี้ได้

Chart 3-8 ดัชนีรายวันในภาคส่วนของธนาคารพาณิชย์ Bank Commercial

Chart 3-9 เป็นกราฟราคาทองคำ จะเห็นราคาทองจะพุ่งขึ้นในเดือนมกราคม 1986 แล้วร่วงลงในเวลาต่อมา จากนั้นราคาก็ไล่ระดับขึ้นไปใหม่ในลักษณะที่ค่อนข้างชัน จนกระทั่งแรงซื้อหมดลงแล้วราคาก็ร่วงกลับลงมาอีกครั้ง จนถึงปลายเดือนกรกฎาคม ถึงจะมีรูปแบบพฤติกรรมการเคลื่อนที่ของราคาซึ่งคล้ายเดิม แต่มันกลับทำราคาสูงสุดกว่าเดิมก่อนที่จะร่วงลง ราคาที่สามารถทะลุผ่านแนวต้านขึ้นไปได้อย่างง่ายดาย นี้เป็นเพราะผู้ซื้อยังไม่หมดแรงซื้อเหมือนที่เกิดขึ้นในรอบเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

Chart 3-9 ราคาทองคำ ระหว่างปี 1985-1986

  1. ทดสอบจำนวนของ Time Elapsed

กฎข้อที่ 3 สำหรับการหาแนวรับ/แนวต้านที่เป็นไปได้เป็นการทดสอบจำนวนของเวลาที่ผ่านไประหว่างราคาที่เริ่มสะสมกำลังกับลักษณะการพัฒนาของตลาดในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งถ้ากำหนดช่วงเวลาไว้ที่ 6 เดือนจะเห็นภาพได้ดีกว่า 10 หรือ 20 ปี ซึ่งมันก็น่าประหลาดเหมือนกันที่ระดับแนวรับ/แนวต้านยังคงมีอิทธิพลต่อเวลาซ้ำแล้วซ้ำเล่าแม้ว่าจะผ่านไปในแต่ละปีแล้วก็ตาม

 

สรุป

  • แนวรับ/แนวต้านเป็นตัวบ่งชี้ระดับความเข้มข้นของอุปสงค์และอุปาทานที่เหมาะต่อการชะลอการเคลื่อนไหวของราคาอย่างน้อยก็ชั่วคราว
  • แนวรับ/แนวต้านไม่ใช่สัญญาณซื้อหรือขาย แต่เป็นตำแหน่งที่ดีที่สุดในการคาดคะเนการกลับตัวของราคามากกว่า และควรนำไปใช้ร่วมกับตัวบ่งชี้อื่นๆ เสมอ
  • แนวรับ/แนวต้านที่เป็นไปได้ จะเกิดขึ้นที่จุดสูงสุดและจุดต่ำสุดก่อนหน้า, ตัวเลขกลมๆ, เส้นแนวโน้มและเส้นค่าเฉลี่ย, Emotional Points บนกราฟ และจุด retracement เช่น Fibonacci proportions
  • ความสำคัญของแนวรับ/แนวต้านขึ้นอยู่กับปริมาณหลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนมือไปก่อนหน้านี้, ความเร็วและขอบเขตการเคลื่อนไหวของราคาก่อนหน้านี้ และระยะเวลาที่ผ่านไปตั้งแต่พบแนวรับ/แนวต้านครั้งสุดท้าย

  

------จบบทความแปล Price Pattern ตอนที่ 5, www.chiangmaiFX.com------


cmfx