เปิด 9 กลุ่มสินค้าที่เสี่ยงแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้าในการส่งออกไปสหรัฐ
- สหรัฐประกาศชะลอการเก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff)กับประเทศคู่ค้าทั่วโลกออกไป 90 วัน เปิดทางให้แต่ละประเทศเจรจาข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐ
- ไทยโดนเก็บภาษีตอบโต้ 36 %
- ไทยได้จัดทำข้อเสนอ (Proposal) 5 ข้อ ต่อสหรัฐเพื่อเป็นแนวทางเจรจา 1 ใน 5 ข้อคือ การบังคับใช้กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า เพื่อแก้ปัญหาการสวมสิทธิสินค้า “Made in Thailand”
- 9 กลุ่มสินค้าเสี่ยงเป็นสินค้าอุตสาหกรรม

นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐประกาศชะลอการเก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) กับประเทศคู่ค้าทั่วโลกออกไป 90 วัน ยกเว้นจีน เพื่อเปิดทางให้ประเทศคู่ค้าได้เจรจาข้อตกลงการค้ากับสหรัฐก่อนถึงเส้นตายต้นเดือนก.ค.นี้
ล่าสุดเมื่อวันที่ 12 พ.ค.ที่ผ่านมา จีนและสหรัฐ การบรรลุข้อตกลงลดภาษีชั่วคราว 90 วัน ระหว่างสหรัฐกับจีน หลังจากเจรจาสำเร็จเบื้องต้นที่สวิตเซอร์แลนด์ ส่งผลให้สถานการณ์การค้าโลกลดความตึงเครียดได้อย่างมาก
สำหรับประเทศไทยถูกประกาศเก็บภาษีในส่วนนี้ 36% ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลไทยได้ติดต่อเพื่อขอเจรจากับสหรัฐ โดยไทยได้จัดทำข้อเสนอ (Proposal) 5 ข้อเสนอต่อนายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐ และส่งให้สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) เพื่อเป็นแนวทางทางในการเจรจากับสหรัฐ ประกอบด้วย
1.เสริมความร่วมมือธุรกิจอาหารแปรรูปไทย และสหรัฐ มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป ด้วยการใช้จุดแข็ง 2 ประเทศร่วมกัน โดยเฉพาะการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐเพื่อเป็นวัตถุดิบแปรรูปและส่งออกไปตลาดโลก และหารือร่วมภาคเกษตรของสหรัฐที่เป็นฐานเสียงสำคัญทางการเมืองของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
2.เพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ โดยไทยมีแผนเพิ่มการนำเข้าสินค้าจำเป็น อาทิ พลังงาน (น้ำมันดิบ, LNG, อีเทน), เครื่องบินและชิ้นส่วน, อาวุธยุทโธปกรณ์ และผลิตภัณฑ์เกษตรอย่างข้าวโพด ถั่วเหลือง และเนื้อวัว เพื่อกระชับความสัมพันธ์เชิงพาณิชย์ และตอบสนองความต้องการของเศรษฐกิจในประเทศ
3.เปิดตลาดและลดอุปสรรคทางการค้า การลดภาษีนำเข้าภายใต้ระบบ MFN จำนวน 11,000 รายการ ลง 14% รวมถึงการลดอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี (NTBs) เป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของความร่วมมือ อีกทั้งลดโควตาและข้อจำกัดพร้อมเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐ เช่น เชอรี่ แอปเปิ้ล ข้าวสาลี ข้าวโพด และผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์
4.บังคับใช้กฎหมายถิ่นกำเนิดสินค้าเคร่งครัดผ่านการบังคับใช้กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า เพื่อแก้ปัญหาการสวมสิทธิ์สินค้า “Made in Thailand” โดยสินค้าจากประเทศที่ 3 ส่งออกผ่านไทยไปสหรัฐ ซึ่งจะเพิ่มการเฝ้าระวังเพื่อรักษาภาพลักษณ์สินค้าไทยในตลาดสหรัฐ
5.ส่งเสริมการลงทุนไทยในสหรัฐ ภาครัฐสนับสนุนการขยายการลงทุนของเอกชนไทยในสหรัฐ ภายใน 4 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน เช่น โครงการลงทุน LNG ในรัฐอลาสก้า และการลงทุนฟาร์มเกษตรขนาดใหญ่ ปัจจุบันเอกชนไทยลงทุนในสหรัฐ 70 แห่ง ใน 20 มลรัฐ สร้างงานมากกว่า 16,000 ตำแหน่ง มูลค่าการลงทุน 16,000 ล้านดอลลาร์
หนึ่งใน 5 ข้อ คือ บังคับใช้กฎหมายถิ่นกำเนิดสินค้าเคร่งครัดผ่านการบังคับใช้กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า เพื่อแก้ปัญหาการสวมสิทธิสินค้า “Made in Thailand” โดยสินค้าจากประเทศที่ 3 ส่งออกผ่านไทยไปสหรัฐ ซึ่งจะเพิ่มการเฝ้าระวังเพื่อรักษาภาพลักษณ์สินค้าไทยในตลาดสหรัฐ
ประเด็นนี้สหรัฐฯ ให้ความสำคัญ และมีข้อห่วงกังวลว่าจะมีการสวมสิทธิและการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้าไทย ซึ่งกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเป็นหน่วยงานดูแลได้มีการปรับปรุงรายการสินค้าเฝ้าระวังฯ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางการค้าจากเดิม 49 รายการ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาสินค้าที่มีความเสี่ยงสูงในการแอบอ้างถิ่นกำเนิดอีก 9 กลุ่มสินค้า ซึ่งคาดว่าจะมีการทะลักเข้าไทย และมีแนวโน้มการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้าเพื่อเป็นการบริหารความเสี่ยง และเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้าไทย
9 กลุ่มสินค้าที่มีแนวโน้มในการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้าในการส่งออกไปสหรัฐฯ ได้แก่
1. กลุ่มสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า
2. กลุ่มสินค้าเหล็กและอลูมิเนียม
3. กลุ่มสินค้าทองแดงและผลิตภัณฑ์ทองแดง
4. กลุ่มสินค้าผลิตภัณฑ์ยาง
5. กลุ่มสินค้าผลิตภัณฑ์พลาสติก
6. กลุ่มสินค้าเซรามิก
7. กลุ่มสินค้าเฟอร์นิเจอร์
8. กลุ่มสินค้าไม้และไม้แปรรูป
9. กลุ่มสินค้าผลิตภัณฑ์กระดาษ
นอกจากนี้ยังได้เพิ่มมาตรการเข้ม ตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้า ทั้งกาลงพื้นที่ตรวจโรงงาน ตรวจสอบเอกสาร และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในประเทศ ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานพาณิชย์จังหวัดจะช่วยทำหน้าที่ประสานงานในพื้นที่ ซึ่ง มาตรการตรวจสอบใหม่นี้จะเริ่มใช้บังคับใช้กลางปี 2568 นี้
ที่มา.. https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1180640