ส่องหุ้นรายกลุ่ม ‘ขนส่ง-พาณิชย์’มาแรง63 แบงก์พลิกฟื้น
เผยดัชนีหลักทรัพย์รายอุตสาหกรรมเพิ่ม-ลดลงสูงสุด บล.ทิสโก้ฯ มองเทรนด์ปี 63 เชียร์ 3 กลุ่ม “ขนส่ง-คอมเมิร์ซ-แบงก์” ชี้เป็นปีให้บริการรถไฟฟ้าสายใหม่เพิ่มแบงก์ พลิกฟื้นเหตุดบ.ตํ่าสุดหนุนลดหนี้เอ็นพีแอล อานิสงส์มาตรการรัฐกระตุ้นบริโภค แนะหุ้นเด่น CPALL, BTS และ BBL
ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน (บจ.) งวด 9 เดือนที่ต่ำกว่าคาด โดย Bloomberg consensus ได้ปรับประมาณการกำไรต่อหุ้นของตลาด (EPS) ปี 2562-2563 ลงมาเป็น 94.24 บาท และ 104.94 บาท ตามลำดับ หรือลดลง 11.9% และ 8.7 ตามลำดับ กดดันให้ดัชนีหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (21 พ.ย.) ปรับเพิ่มเพียง 1.8%
โดยแยกตามดัชนีหลักทรัพย์รายกลุ่มที่ปรับเพิ่มตั้งแต่ต้นปีสูงสุด ได้แก่ หุ้นกลุ่มไฟแนนซ์เพิ่ม 25%, กลุ่มไอซีทีเพิ่ม 19%, กลุ่มกองทุนรวมอสังหา/กองรีท (PF&REIT) เพิ่ม 18%, กลุ่มขนส่งและโลจิกติกส์เพิ่ม 18%, อาหารและเครื่องดื่มเพิ่ม 13% และกลุ่มพาณิชย์เพิ่ม 3%
ส่วนดัชนีหุ้นรายกลุ่มที่ปรับลดลงมากสุดคือกลุ่มปิโตรเคมี ลดลง 32%, อิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วน ลดลง 27%, กลุ่มธุรกิจเกษตรลดลง 18%, กลุ่มยานยนต์ลดลง 16%, กลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรมลดลง 16%, กลุ่มธนาคาร ลดลง 14% ส่วนกลุ่มพลังงานลดลง 9% , กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ลดลง 7% และกลุ่มการแพทย์ลดลง 6% (ตารางประกอบ )
นายมนชัย มกรานุรักษ์ หัวหน้าสำนักวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ฯ กล่าวกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่าเซ็กเตอร์ที่น่าสนใจในปี 2563 ยังมองไว้ 3 กลุ่มคือ
1. กลุ่มพาณิชย์ จากการบริโภคในประเทศค่อนข้าง ดีอยู่ แม้จะมีเรื่องสงครามการค้าที่กระทบส่งออก ประกอบกับรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นกำลังซื้ออย่างต่อเนื่อง หุ้นที่แนะนำกลุ่มนี้เป็น บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) (บมจ.) หรือ CPALL ให้ราคาเป้าหมายปี 2563 ที่ 95 .00 บาท (ราคาปิด 21 พ.ย. อยู่ที่ 75.50 บาท)
2. กลุ่มขนส่ง โดยปีหน้าจะเป็นปีแรกที่มีรถไฟฟ้าสายใหม่เกิดขึ้นทุกปี ดังนั้นผลประกอบการของรถไฟฟ้าจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง หุ้นที่แนะนำ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ หรือ BTS โดยปี 2563 จะเปิดสายสีเขียว หมอชิต-สะพานใหม่ และในปี 2564 มีสายสีชมพูและเหลืองที่วิ่งชานเมือง ให้ราคาเป้าหมายที่ 15.10 บาท (ปิดราคา 21 พ.ย. ที่ 13.90 บาท) ซึ่งสามารถถือยาว
3. หุ้นกลุ่มธนาคาร จากที่ปีนี้ได้รับแรงกดดันทั้งเรื่องการลดดอกเบี้ย หนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) สูง ทำให้หุ้นกลุ่มธนาคารปรับลดลงอย่างมาก แต่หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% มาอยู่ระดับ 1.25% เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2562 แรงกดดันเรื่องดอกเบี้ยหมดไป และปีหน้าโอกาสที่จะลดดอกเบี้ยลงอีกเป็นไปได้น้อยมาก การลดดอกเบี้ยยังช่วยลดความกังวลเรื่องของหนี้เสียธนาคาร
อย่างไรก็ดีการลงทุนหุ้นช่วงนี้อาจต้องดูจังหวะ เลือกหุ้นเด่นเป็น ธนาคารกรุงเทพ หรือ BBL จากราคาเทรดที่ตํ่ากว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชี 0.78 เท่า ตํ่าสุดในกลุ่มธนาคารใหญ่ และลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคอร์ปอเรต (ธุรกิจ) โอกาสที่จะมีปัญหาน้อยหรือมีสายป่านที่ประคองตัวเองไปได้ ในภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอ
“ปีนี้เซ็กเตอร์ใหญ่ๆ ล้วนปรับลง อย่างแบงก์ปรับลง 14% ปิโตรเคมีรูดลง 31% อิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวกับสงครามการค้าโดยตรงลง 27% อสังหาริมทรัพย์ลง 7% เป็นปีที่ค่อนข้างยาก ต้องกระจายและเฟ้นหุ้นให้ถูกตัว โดยหุ้นที่ยังปรับขึ้นก็คือตัวที่มีกำไรต่อเนื่องมั่นคง จ่ายปันผลดี คาดดัชนีหุ้นปีนี้น่าจะปิดที่ 1650-1680 จุดจากแรงซื้อ LTF และปี 2563 น่าจะเพิ่ม 100 จุดหรืออยู่ระดับ 1750-1780 จุด จากเศรษฐกิจไทยดีขึ้น มาตรการรัฐบาลส่ง ผลชัดเจนในปีหน้า และฟันด์โฟลว์ไหลเข้า”
นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ จก. กล่าวว่า กลุ่มหุ้นที่ยังให้ผลตอบ แทนดีหรือเชื่อมโยงกับแนวโน้มดอกเบี้ยและบอนด์ยีลด์ อาทิ ในกลุ่มกองทุนรวมอสังหาฯ/รีท หุ้นโรงไฟฟ้าบางตัว กลุ่มที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐาน รถไฟฟ้า เป็นกลุ่มที่น่าลงทุน อานิสงส์จากนโยบายภาครัฐ ส่วนกลุ่มเสี่ยงคือหุ้นที่มีแนวโน้มถูกดิสรัปต์ ได้แก่ ยานยนต์ การศึกษา สิ่งพิมพ์มีเดียส์ เทเลคอม ฯลฯ
ด้านบล.กสิกรไทยฯ แนะนำลงทุนในหุ้น (DTAC, ADVANC, MEGA, JMT, AMATA, EPG, LH,BDMS, RBF, CPALL, CBG และ BTS) ที่กำไรไตรมาส 3/2562 ออกมาดีกว่าประมาณการของตลาด และคาดการณ์กำไรไตรมาส 4/2562 จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง, หุ้น (BGC, PRM, COM7, TKN, TOP, IRPC, TRUE และ JWD) ที่มีกำไรต่ำกว่าคาดในไตรมาส 3/2562 แต่มีภาพรวมเป็นบวกในไตรมาส 4/2562 อาจแข็งกว่าตลาดในระยะกลางได้
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก