ห้องเม่าปีกเหล็ก

ลงทุนอย่างไรในยุคที่ระเบียบโลกเปลี่ยน

โดย หัวโจก
เผยแพร่ :
59 views

ลงทุนอย่างไรในยุคที่ระเบียบโลกเปลี่ยน

By ดร. ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล. InnovestX บริษัทการเงินการลงทุนในกลุ่ม SCBX [email protected]

 

กลยุทธ์การลงทุน เรามองว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยมีโอกาสพักตัวเพื่อรอปัจจัยหนุนใหม่และติดตามความคืบหน้าการเจรจาทางการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ หลังก่อนหน้านี้ดัชนีได้ปรับขึ้นตอบรับประเด็นบวกระหว่างสหรัฐฯ และจีนไปแล้ว กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”

 

 

เศรษฐกิจและการลงทุนโลกเริ่มแสดงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยเฉพาะหลังนโยบาย Reciprocal Tariff ของประธานาธิบดีทรัมป์เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 ที่เปลี่ยนโฉมหน้าระเบียบการค้าโลก ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดัชนี S&P 500 ลดลงรุนแรง แม้จะกลับมาเหนือระดับก่อนประกาศแล้วจากสหรัฐฯ-จีนบรรลุข้อตกลงลดภาษีเป็นเวลา 90 วัน (ถึง 10 ส.ค.) โดย (1) จีนจะลดภาษีสินค้าสหรัฐฯ จาก 125% เหลือ 10% (2) สหรัฐฯ จะลดภาษีสินค้าจีนจาก 145% เหลือ 30% ก็ตาม แต่สัญญาณสงครามการค้าก็ไม่แน่นอนหลังจากประธานาธิบดีทรัมป์เตรียมให้สหรัฐฯ กำหนดภาษีศุลกากรเองแบบรายประเทศฝ่ายเดียว โดยไม่เจรจาแบบทวิภาคี เนื่องจากมีกว่า 150 ประเทศ พร้อมส่งหนังสือแจ้งคู่ค้าเพื่อบังคับใช้ในอีก 2–3 สัปดาห์

ปรากฏการณ์นี้สอดคล้องกับทฤษฎีของ Ray Dalio ที่เตือนถึงการเปลี่ยนแปลงระเบียบโลกครั้งใหญ่ ซึ่งล่าสุดยังเตือนว่าเรากำลังเผชิญกับ “การล่มสลายครั้งใหญ่” ในระเบียบเศรษฐกิจ การเมือง และภูมิรัฐศาสตร์โลก โดย Dalio กล่าวว่าทุก 75 ปี (±25ปี) จะมีการเปลี่ยนมหาอำนาจหลัก และขณะนี้เป็นเวลากว่า 80 ปีแล้วที่สหรัฐเป็นมหาอำนาจหลัก ทำให้มีโอกาสสูงที่จะเสื่อมถอยลง

สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงมหาอำนาจโลกมี 3 ปัจจัยหลัก : (1) วัฏจักรหนี้ขนาดใหญ่ (2) ความเหลื่อมล้ำทางชนชั้น และ (3) การเกิดขึ้นของมหาอำนาจใหม่ที่ท้าทายมหาอำนาจเดิม เมื่อมหาอำนาจใหม่ท้าทายมหาอำนาจเดิม จะเกิด 5 สงคราม : สงครามการค้า เทคโนโลยี ทุน ภูมิรัฐศาสตร์ และทางทหาร ซึ่งอาจจบลงด้วยความพ่ายแพ้หรือความอ่อนแอลงของมหาอำนาจเดิม

สหรัฐเข้าสู่จุดสูงสุดของอำนาจในช่วง 1985-1990 และปัจจุบันเริ่มลดลง ทั้งด้านการทหารและเศรษฐกิจ สถานะของดอลลาร์ในฐานะเงินสกุลหลักก็ถูกท้าทายจากสกุลอื่นและคริปโท ขณะที่จีนแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้จะมีปัญหาเช่นหนี้ประชาชาติที่สูง (263% GDP) แต่ก็เป็นหนี้ในประเทศเป็นหลัก ต่างจากสหรัฐที่เป็นหนี้ต่างประเทศ และมีความเข้มแข็งด้านการค้า การศึกษา เทคโนโลยี และการทหาร

แต่จีนก็จะยังไม่สามารถขึ้นเป็นมหาอำนาจหลักของโลกได้เนื่องจาก (1) จีนยังไม่ยอมปล่อยให้เงินหยวนเป็นเงินสกุลหลักของโลก (Internationalization) และ (2) จีนจะยังเป็นผู้ผลิตหลักของโลก และยิ่งเมื่อถูกขึ้นภาษีศุลกากรกับสหรัฐ ก็จะยิ่งส่งสินค้าราคาถูก (Dumping) ไปยังประเทศอื่น ๆ มากขึ้น ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้น จะทำให้เศรษฐกิจโลกใน 5-10 ปีข้างหน้า ยังแตกเป็นเสี่ยง ๆ เกิดกระแสการรวมกลุ่มแบบภูมิภาคนิยม (Regionalization) และยังไม่มีมหาอำนาจใดได้สิทธิขาดดั่งเช่นสหรัฐในช่วง 8 ทศวรรษที่ผ่านมา

เรามองว่า เศรษฐกิจโลกในระยะสั้นจะเข้าสู่ภาวะความผันผวนสูง คาดว่าอัตราการเติบโตจะชะลอตัวลงอย่างน้อย 1% (จาก 3.5% เหลือ 2.5%) ประเทศที่พึ่งพาการส่งออกสูงและถูกเก็บภาษีมากจะได้รับผลกระทบมากกว่า ขณะที่บางประเทศได้เตรียมพร้อมรับมือแล้ว เช่น จีนขยายตลาดนอกประเทศพร้อมสร้างความแข็งแกร่งภายใน ส่วนเศรษฐกิจไทยในปี 2568 คาดว่า GDP จะขยายตัวเพียง 1.4% จากเดิมที่คาดว่าจะโต 2.5% และการส่งออกอาจหดตัวถึง 3%

ในสภาวะที่โลกมีความไม่แน่นอนสูง เราแนะนำการกระจายการลงทุนใน 4 กลุ่มสินทรัพย์หลัก ดังนี้: (1) หุ้น - เน้นหุ้นเชิงป้องกันและหุ้นที่มีมูลค่า ในตลาดสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น จีน และไทย โดยเฉพาะบริษัทที่มีรายได้ภายในประเทศเป็นหลัก (2) ตราสารหนี้ - พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ไทย และหุ้นกู้บริษัทชั้นดี 

โดยแม้ว่าสถาบันจัดอันดับ Moody's Ratings ประกาศปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ จาก Aaa เป็น Aa1 เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2568 จาก (1) การขาดดุลงบประมาณที่เพิ่มขึ้น (ปัจจุบันอยู่ที่ 6% ของ GDP และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 9% ภายในปี 2578) (2) ภาระหนี้สาธารณะที่สูงเกินระดับ GDP (คาดการณ์จะถึง 107% ภายในปี 2572) (3) อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นซึ่งเพิ่มต้นทุนการชำระหนี้ และ (4) แนวโน้มการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงเนื่องจากสงครามการค้า ทำให้เรามองว่า ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอาจสูงขึ้นทั้งจากกระแสการเทขายพันธบัตรหากรัฐบาลทำนโยบายการคลังแบบไม่มีวินัย (Bond vigilante) และจากบริษัทจัดอันดับอื่นๆ อย่างไรก็ตาม พันธบัตรสหรัฐยังถือว่ายังปลอดภัยในระดับหนึ่ง และเป็นตลาดที่มีสภาพคล่องสูง ขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงก็จะทำให้ความน่าสนใจมีมากขึ้น

(3) โภคภัณฑ์ - เน้นทองคำซึ่งเป็นที่หลบภัยในภาวะค่าเงินผันผวน รวมถึงน้ำมันและสินค้าเกษตร (4) สินทรัพย์ทางเลือก - ค่าเงินเยน (ที่น่าสนใจในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย) สินทรัพย์ดิจิทัล อสังหาริมทรัพย์ และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน

ในส่วนกลยุทธ์การลงทุน เรามองว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยมีโอกาสพักตัวเพื่อรอปัจจัยหนุนใหม่และติดตามความคืบหน้าการเจรจาทางการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ หลังก่อนหน้านี้ดัชนีได้ปรับขึ้นตอบรับประเด็นบวกระหว่างสหรัฐฯ และจีนไปแล้ว กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลัก และ 1 ธีมเทรดดิ้ง ดังนี้ 1. หุ้น Earning Play ซึ่งโมเมนตัมกำไรยังเติบโตแข็งแกร่ง โดยเราแนะนำหุ้น ADVANC TRUE BTG CPF CPALL 2. หุ้นที่คาดเป็นเป้าหมาย ThaiESGX และกำไรเติบโตดี ฐานะการเงินแกร่ง และจ่ายปันผลสม่ำเสมอ เราแนะแนำ ADVANC BDMS CPALL PTT BCH BTG และ AP 3. หุ้น SET50 ที่มี SETESG Rating A ขึ้นไป และมีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ (Div. Yield 5% ขึ้นไป เราแนะนำ PTT KTB BBL HMPRO และ 4. Trading Idea สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการแนะนำเก็งกำไรสำหรับหุ้น Undervalued กำไรยังเติบโตได้ดี และมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง เราแนะนำ GULF MTC CBG AMATA BJC

ขอให้นักลงทุนโชคดี

 

ที่มา.. https://www.bangkokbiznews.com/blogs/finance/stock/1181520

 


หัวโจก