ถึงเวลาที่ไทย อย่าละเลยเสียงนาฬิกาปลุก | Global Vision
By ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์
การลงทุนโลกเริ่มเห็นแสงสว่างเมื่อประธานาธิบดีทรัมป์ลดระดับความตึงเครียดทางการค้า ตลาดหุ้นสหรัฐฟื้นตัวกลับมาได้แรง

S&P 500 ลดการปรับตัวลงจากช่วงเดือนเมษายนจาก -7% เหลือเพียง -3.3% Dow Jones ปิดในระดับ 40,003 จุด เพิ่มขึ้น 1% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา
ภาพเหล่านี้เป็นผลจากนโยบายประธานาธิบดีทรัมป์ที่ผ่อนคลายนโยบายสงครามการค้าลง โดยระบุว่าภาษี 145% ต่อสินค้าจีน “จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ” และประกาศเลื่อนการเก็บภาษีออกไป 90 วัน ขณะที่จีนเองก็เริ่มประเมินการเปิดเจรจาหลังฝ่ายสหรัฐติดต่อผ่านหลายช่องทาง
แม้ความตึงเครียดทางการค้าเริ่มมีทิศทางผ่อนคลายลง อย่างไรก็ตาม จีนยังคงเรียกร้องให้สหรัฐยกเลิกภาษีทั้งหมดก่อนการเจรจาอย่างจริงจัง ขณะที่รัฐมนตรีคลังสหรัฐยอมรับว่าภาษีที่ระดับปัจจุบัน (145% สำหรับสินค้าจีน) “ไม่ยั่งยืน” และจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ผู้เขียนมองว่า ในภาพรวม แม้จะมีสัญญาณว่าการเจรจาระยะต่อไปอาจเกิดขึ้นและตลาดการเงินอาจดีขึ้น แต่เส้นทางการเจรจายังอีกยาวไกลและเต็มไปด้วยความท้าทาย
ทั้งจากประเด็นอ่อนไหวของแต่ละประเทศ ท่าทีของสหรัฐที่ต้องการรักษาระดับภาษีบางส่วนไว้ และอำนาจต่อรองที่ไม่เท่าเทียมกัน โดยเฉพาะสำหรับประเทศขนาดเล็กอย่างไทย ซึ่งอาจส่งผลให้เศรษฐกิจจริงได้รับผลกระทบมากขึ้นในระยะต่อไป
ในส่วนของตลาดการเงิน แม้จะดูดีขึ้นบ้าง แต่ตัวเลขทางเศรษฐกิจบ่งชี้ภาพที่ตรงกันข้าม กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดการเติบโตของเศรษฐกิจโลกปี 2568 เหลือ 2.8% (ลดลง 0.5 จุด)
จากผลกระทบของสงครามการค้า ปริมาณการค้าโลกถูกปรับลดลงรุนแรงเหลือเพียง 1.7% และ 2.5% ในปี 2568-2569
ขณะที่สหรัฐเองถูกปรับลด GDP เหลือ 1.8% จากเดิม 2.7% ขณะที่เงินเฟ้อสหรัฐ อาจเพิ่มขึ้นเป็น 3% ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) น่าจะลดดอกเบี้ยยากขึ้น
แต่เศรษฐกิจไทยเผชิญความเสี่ยงที่รุนแรงกว่าโดย IMF ปรับลดการคาดการณ์การเติบโตเหลือเพียง 1.8% ขณะที่ผู้เขียนคาดว่าอาจต่ำกว่าถึง 1.4%
และยิ่งการที่คณะผู้แทนไทยถูกเลื่อนการเยือนสหรัฐออกไปไม่มีกำหนด ยิ่งเป็นสัญญาณเชิงลบต่อภาคการค้าและส่งออกมากยิ่งขึ้น เนื่องจากไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐมากที่สุด เป็นอันดับ 11 ด้วยมูลค่าเกินดุล 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์
ขณะที่ข้อเสนอจาก “ทีมไทยแลนด์” ที่สัญญาณว่าจะลดการขาดดุลการค้ากับสหรัฐเหลือครึ่งหนึ่งใน 5 ปี น่าจะน้อยเกินไป ทำให้โอกาสที่ไทยจะถูกเก็บภาษีสูงกว่า 10% เป็นไปได้สูง เมื่อพิจารณาจากอำนาจต่อรองของไทยเทียบกับสหรัฐที่ค่อนข้างต่ำ
การที่ Moody's บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ปรับมุมมองเครดิตพันธบัตรรัฐบาลไทยจาก “Stable” เป็น “Negative” เป็นครั้งแรกในรอบ 17 ปี (แม้จะยังคงระดับความน่าเชื่อถือที่ BAA+ ซึ่งเป็นระดับที่ลงทุนได้ก็ตาม)
สะท้อนความกังวลต่อเศรษฐกิจไทยท่ามกลางความไม่แน่นอนของสงครามการค้าโลก หนี้สาธารณะของไทยที่เพิ่มขึ้นเป็น 64.21% ของ GDP แม้ไม่สูงมากเมื่อเทียบกับทั่วโลก
แต่ความเสี่ยงสำคัญคือการเติบโตของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวต่ำกว่าศักยภาพมาโดยตลอด ทำให้รายได้ภาษีน้อยลง และรัฐบาลขาดดุลงบประมาณต่อเนื่อง ยิ่งสงครามการค้ารุนแรงขึ้น การเติบโตเศรษฐกิจจะยิ่งแย่มากขึ้น ส่งผลให้รายได้ภาษีลดลง เพิ่มความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้
หากไทยยังประวิงเวลาในการแก้ไขสถานการณ์ในจุดนี้ อาจเผชิญกับวิกฤติการคลังในอนาคต
แต่ในข่าวร้ายยังมีข่าวดี แม้ Moody's จะปรับลดมุมมอง แต่ดอกเบี้ยพันธบัตรไทยกลับลดลง เนื่องจากนักลงทุนมองพันธบัตรไทยเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยขณะนี้ เงินทุนไหลเข้าตลาดพันธบัตรไทยมากกว่า 6.4 หมื่นล้านบาทในเมษายน ขณะที่ความต้องการซื้อพันธบัตรในประเทศยังพุ่งสูง
เห็นได้จาก “พันธบัตรออมทรัพย์ 150 ปี” ของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ที่มีความต้องการต่อเนื่องจนทำให้ สบน. ต้องขยายวงเงินเพิ่ม ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีไทยอยู่ที่ประมาณ 1.90% เป็นโอกาสทองสำหรับรัฐบาลระดมทุนได้ด้วยต้นทุนต่ำ
ผู้เขียนมองว่า รัฐบาลน่าจะใช้สัญญาณเตือนจาก Moody's ครั้งนี้ เพื่อปฏิรูปประเทศผ่าน 5 มาตรการ กล่าวคือ
(1) ระดมทุนขนาดใหญ่ทันที: ใช้ประโยชน์จากดอกเบี้ยต่ำระดมทุนลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
(2) ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 4 ล้านล้านบาทภายใน 5 ปี ซึ่งจะช่วยเพิ่มการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ 1.5-2.0% ต่อปี และจะทำให้เศรษฐกิจไทยยังสามารถเติบโตได้ 3% ในปีนี้ แม้เผชิญสงครามการค้า โดยควรจะเริ่มการลงทุนภายในครึ่งหลังของปีนี้
(3) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ควรทำนโยบายการเงินผ่อนคลาย โดยลดดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง และรวดเร็วพร้อมเพิ่มปริมาณเงินในระบบในรูปแบบเดียวกับการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing: QE) เพื่อเพิ่มปริมาณเงินในระบบที่จะถูกดูดออกจากการระดมทุนภาครัฐ
อันเป็นการแก้ปัญหาด้านเศรษฐศาสตร์ ที่เรียกว่า Crowding-out หรือการระดมทุนภาครัฐดึงดูดสภาพคล่องในระบบและทำให้การลงทุนภาคเอกชนลดลง
ในทางกลับกัน การแก้ปัญหาเรื่องการขาดสภาพคล่องของ ธปท.จะทำให้การลงทุนภาครัฐสามารถดึงดูดหรือ Crowding-in การลงทุนเอกชน เนื่องจากโดยปกติ การลงทุนภาครัฐจะดึงดูดให้ภาคเอกชนลงทุนตาม
เช่น ผู้รับเหมา และผู้ผลิตวัตถุดิบด้านการก่อสร้าง เป็นต้น และทำให้เศรษฐกิจหมุนไปได้ท่ามกลางภาคการค้าและการท่องเที่ยวระหว่างประเทศที่จะแย่ลง
ทั้งนี้ การที่ ธปท. ปรับประมาณการเงินเฟ้อในปีนี้จาก 1.1% สู่ 0.5% ในกรณีฐาน และ 0.2% ในกรณีเลวร้าย บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจไทยอาจจะเผชิญกับวิกฤติเงินฝืด ซึ่งการเพิ่มสภาพคล่อง ช่วยให้ไทยรอดพ้นจากวิกฤติเงินฝืดได้
(4) เร่งเจรจาทวิภาคีกับสหภาพยุโรป เพื่อเป็นทางเลือกทางการค้าแทนที่สหรัฐและจีน รวมถึงลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางทะเล โดยเฉพาะลงทุนในท่าเรือฝั่งอันดามันเพื่อเชื่อมต่อการค้ากับซีกโลกตะวันตก เช่น เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกา และยุโรป ได้ง่ายขึ้น
(5) ปรับโครงสร้างการค้ากับสหรัฐ โดยเปลี่ยนจากการนำเข้าสินค้าเกษตร มาเป็นพลังงานและสินค้าทุน โดยเฉพาะเครื่องจักรกลการเกษตรและการก่อสร้างจากสหรัฐ ซึ่งจะทำให้การนำเข้าจากสหรัฐเพิ่มมูลค่ามากขึ้น และลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐได้รวดเร็ว
สถานการณ์ปัจจุบันเปรียบได้กับจุดยืนริมเหว ถ้าไทยยังหลับใหลและละเลยเสียงเตือนภัยนี้ จะไม่มีโอกาสฟื้นตัวได้ในอนาคต การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่และการปฏิรูปอย่างจริงจัง จะเป็นทางเดียวที่ฉุดไทยให้พ้นจากหล่มนี้ และยืนหยัดได้ในระเบียบโลกใหม่ที่กำลังตั้งขึ้น
เสียงจาก Moody’s เป็นดั่งสัญญาณนาฬิกาที่ปลุกทางการไทยให้ตื่นขึ้น ถึงเวลาที่ไทยต้องตื่นรับฟังและดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่เด็ดขาดก่อนที่จะสายเกินไป
บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ไม่เกี่ยวข้องใด ๆ กับหน่วยงานที่ผู้เขียนสังกัดอยู่
ที่มา… https://www.bangkokbiznews.com/blogs/business/economic/1179138