SNNP ทำสถิติสูงสุดใหม่ติดต่อกันเป็นไตรมาสที่สี่
SNNP ประกาศกำไรไตรมาส 2/2566 เมื่อวันที่ 9 ส.ค. โดยมีกำไรปกติสูงสุดใหม่ที่ 164 ลบ. (+34% YoY, +1.1% QoQ) ไม่รวมส่วนแบ่งขาดทุนจากการดำเนินงานที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก 7.3 ลบ. และคิดเป็น 45% ของประมาณการทั้งปีของเรา
ผลประกอบการต่ำกว่าที่เราคาด 3% จากยอดขายในต่างประเทศต่ำกว่าที่คาดไว้ 8.3% การเติบโต YoY เกิดจาก
1) ยอดขายในประเทศที่เติบโต 14.9% จากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ประสบความสำเร็จจำนวนมาก
2) อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ที่สูงขึ้น 27.9% (+180 bps YoY, -30 bps QoQ) แบ่งเป็น GPM ในประเทศโดยประมาณที่ 26.6% (+170 bps YoY, -40 QoQ) และ GPM ในต่างประเทศโดยประมาณที่ 32.0% (+230 bps YoY, -40 bps QoQ)
3) leverage ของต้นทุนคงที่ในค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ซึ่งส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A ต่อรายได้ลดลงที่ 14.7% (-120 bps YoY, +10 bps QoQ) สาเหตุที่ เพิ่มขึ้นเล็กน้อย QoQ แม้ว่า GPM โดยรวมจะลดลงจากการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนของผลิตภัณฑ์ เป็นเพราะยอดขายโดยรวมที่ดีขึ้นโดยเครื่องดื่มเจเล่เป็นเครื่องดื่มที่มีผลประกอบการดีที่สุดในตลาดประเทศไทย
แนวโน้ม ในการประชุมนักวิเคราะห์ไตรมาส 2/2566 ผู้บริหารย้ำเป้าหมายรายได้ทั้งปีที่ 6.4 พันลบ. แม้จะลดเป้าหมายยอดขายในเวียดนามลงเหลือ 0.9 พันลบ. จาก 1 พันลบ. ในขณะที่เป้าหมาย GPM ที่จะถึง 30% ภายในไตรมาส 4/2566 ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง การสะดุดเล็กน้อยในครึ่งแรกของปี 2566 เกิดจากปัญหาทางเทคนิคในการตั้งเครื่องจักรที่โรงงานในเวียดนาม ทำให้เกิดความล่าช้าในการผลิต
ดังนั้น SNNP คาดว่าการเติบโตที่แข็งแกร่งในครึ่งหลังของปี 2566 เป็นผลมาจาก
1) ผลิตภัณฑ์ใหม่จำนวนมากที่ประสบความสำเร็จในการเปิดตัวตั้งแต่ปี 2565 และจะเปิดตัวในครึ่งหลังของปี 2566
2) โรงงานในเวียดนามซึ่งปัจจุบันเดินเครื่องจักรเต็มศักยภาพ
3) ช่วงไฮซีซันสำหรับการขายเบนโตะซึ่งมีอัตรากำไรที่สูงกว่า เพื่อปรับปรุงสัดส่วนผลิตภัณฑ์
เป้าหมายยอดขายที่ลดลงในเวียดนามคาดว่าจะได้รับการชดเชยจาก
1) ยอดขายผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซในจีน
2) เครื่องดื่มกระท่อมชูกำลังที่เพิ่งออกใหม่ SNNP ตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดเครื่องดื่มชูกำลัง 5% จากเป้าหมายยอดขาย 1 ล้านขวด/เดือน กลยุทธ์เน้นไปที่การเจาะพื้นที่ต่างจังหวัดซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ใช้แรงงานที่บริโภคเครื่องดื่มกระท่อมทุกวันอยู่แล้ว
คงคำแนะนำ “ซื้อ” และ TP ที่ 30.3 บาท จาก 1) แนวโน้มเติบโตแข็งแกร่งใน 2H66 2) ความเสี่ยงขาลงที่จำกัดต่อประมาณการปี 2566 3) การประเมินมูลค่าที่ไม่แพง
