กาง'สถิติ'หุ้นไทยในภาวะสงคราม กระทบเพียง 2% ฟื้นตัวเร็ว

กาง'สถิติ'หุ้นไทยในภาวะสงคราม กระทบเพียง 2% ฟื้นตัวเร็ว ล่าสุดการโจมตีของกลุ่มฮามาสต่ออิสราเอล นักวิเคราะห์มองว่า ยังอยู่ในวงจำกัด ไม่บานปลายไม่กระทบตลาดหุ้นไทย ส่วนหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องอย่างกลุ่มท่องเที่ยวและกลุ่มโรงพยาบาลมีค่อนข้างน้อย
ในอดีตที่ผ่านมา เมื่อเกิดสงครามต่างประเทศตลาดหุ้นทั่วโลกจะได้รับผลกระทบหมด รวมทั้งตลาดหุ้นไทยด้วย แต่ลักษณะการโจมตีในแต่ละครั้งนั้นแตกต่างกันออกไป รูปแบบ ความยืดเยื้อ เป็นตัวบ่งชี้ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ล่าสุดกับกรณีการโจมตีของกลุ่มฮามาสต่ออิสราเอล นักวิเคราะห์หลายฝ่ายมองว่า ยังอยู่ในวงจำกัด มิได้บานปลายออกมาแต่อย่างใด ผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย และหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องอย่างกลุ่มท่องเที่ยวและกลุ่มโรงพยาบาลมีค่อนข้างน้อย
สรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)กสิกรไทย ให้ข้อมูลกับกรุงเทพธุรกิจว่า ผลกระทบสงครามอิสราเอลไม่กระทบตลาดหุ้นไทยมาก เนื่องจากว่าเป็นประเทศที่ค่อนข้างไกลไทยมาก แต่หากเกิดขึ้นในภูมิภาคเดียวกับไทยตลาดหุ้นไทยจะกระทบมาก จากสถิติที่ผ่านมาสงครามหลายแห่งมีความยืดเยื้อต่างกัน ผลกระทบโดยเฉลี่ยทั่วโลกตั้งแต่ปี 2000 อยู่ที่ 1-4% ขณะที่ไทยส่วนใหญ่จะลงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอยู่แค่ 1-2% เท่านั้น โดยเฉลี่ยเรื่องราวภาวะต่างๆ ส่วนใหญ่สมัยใหม่จะค่อนข้างจบเร็วไม่เกิน 1-2 สัปดาห์ หลังจากนั้นตลาดจะปรับตัวขึ้นมาเกือบหมด
ส่วนหุ้นไทยที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงมีค่อนข้างจำกัด เนื่องจากสงครามครั้งนี้เคยเกิดขึ้นมาต่อเนื่องตลอด 50 ปี ซึ่งเกิดขึ้นในปี 1973 ช่วงเดือนต.ค.และสงครามนี้ถูกเรียกไปในหลายชื่อมาก แต่ทั้งนี้สิ่งที่เกิดขึ้นในฝั่งตะวันออกกลางส่วนใหญ่ราคาน้ำมันดิบจะปรับตัวสูงขึ้น พร้อมกับทองคำ รวมถึงกลุ่มหุ้นบางตัวที่ได้รับประโยชน์ทางอ้อมจากราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น
“ชาวตะวันออกกลางส่วนใหญ่ที่เดินทางมารักษาในโรงพยาบาลบ้านเรา คือ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คูเวต และโอมาน ซึ่งเป็นฝั่งที่ไม่ได้มีการเกิดสงครามมากนัก เพราะฉะนั้นผลกระทบจากหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลจากกรณีสงครามดังกล่าวค่อนข้างมีจำกัด”
ส่วนกลุ่มท่องเที่ยวกลุ่มตะวันออกกลางที่เข้ามา เป็นกลุ่มเดียวกันกับกลุ่มโรงพยาบาล แต่สิ่งที่กังวลคือ นักท่องเที่ยวจีนช่วงสัปดาห์โกลเด้นวีคการเดินทางของนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาในบ้านเราสูงขึ้นจริงหากนับก่อนสัปดาห์โกลเด้นวีค อยู่ที่ 5 -6 หมื่นคนต่อสัปดาห์ ส่วนช่วงโกลเด้นวีคปรับขึ้นมา 1 แสนกว่าคน แต่หลังจากนั้นยอดนักท่องเที่ยวจีนต่ำลงกว่านั้น โดยเชิงเซนติเมนท่องเที่ยวจีนต้องเร่งให้กลับมาให้ได้ เพราะถือว่ามีความสำคัญค่อนข้างมาก
ณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า จากสงครามการโจมตีที่อิสราเอล อยากให้มองไปข้างหน้า มากกว่าที่จะดูสถิติย้อนหลังในสงครามครั้งก่อน โดยอาจพิจาณาดูว่า สงครามในครั้งนี้จะอยู่ในแค่พื้นที่ที่ยังจำกัดอยู่ที่ฉนวนกาซาหรือไม่ เพราะว่าการสู้รบกันระหว่างอิสราเอลกับฮามาส มีมาอย่างต่อเนื่อง
โดยผลกระทบในไทยยังไม่ได้เยอะมาก ซึ่งมีสัดส่วนไปลงทุนในอิสราเอลไม่สูงทั้งส่งออกและนำเข้า หากเป็นหุ้นรายกลุ่มในกลุ่มพลังงานจะเป็นผลกระทบเชิงบวกตามราคาพลังงานที่ปรับเพิ่มขึ้น แต่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์สงครามนั้นจะยืดเยื้อหรือไม่
ส่วนกลุ่มที่เป็นลบจะใช้พลังงานเป็นต้นทุน เป็นหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า หรือบรรจุภัณฑ์ต่างๆ ขณะที่ผู้ประกอบการที่เข้าไปทำธุรกิจในอิสราเอลอย่าง IVL สัดส่วนไม่ได้มาก หรือเทียบกับสัดส่วนรายได้เพียงแค่ 1% ความเสียหายจึงไม่ได้มาก
ขณะที่หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวต้องยอมรับว่า ได้รับผลกระทบมาตั้งแต่เหตุยิงกลางห้างสยามพารากอน และยอดนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เข้ามาไม่ได้เยอะตามที่รัฐบาลคาดการณ์ไว้ เพราะนักท่องเที่ยวจีนเองกลับมีการท่องเที่ยวในประเทศมากกว่า
ส่วนหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวที่แข็งแกร่งอย่าง MINT อาจจะถูกกดดัน เนื่องจากมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศค่อนข้างมาก เพราะนักท่องเที่ยวต่างประเทศอาจจะมีการชะลอตัวลดลง
ด้านกลุ่มการแพทย์ มองว่า จากสถานการณ์อิสราเอลกับฮามาสยังไม่ได้ลุกลาม อาจจะไม่ได้รับผลกระทบกับตลาดตะวันออกกลางมากนัก ในทางตรงกันข้ามราคาพลังงานขึ้น กลับมองว่า กลุ่มนี้ยังมีศักยภาพในการรักษาในไทยสูงมากขึ้น
“ตรงฝั่งอิสราเอลและฮามาสเป็นพื้นที่ชายแดนที่มีข้อพิพาทมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นคนละฝั่งกับที่เป็นนักท่องเที่ยว แต่สิ่งที่คนกังวลคือ พอมีความไม่สงบเกิดขึ้น ส่งผลให้ประเทศรอบ ๆ ไม่มีกระจิตกระใจที่จะออกมาเที่ยว เลยอาจจะมีการชะลอตัวลงไปบ้าง”