แม้ว่าผู้บริหาร บริษัท ดีเอ็นเอ 2002 จำกัด ( มหาชน ) หรือ หุ้น DNA จะปฏิเสธอย่างแข็งขันว่า บริษัทไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการคดีฉ้อโกง นายเออาร์นี โมตาวา ซาริมา นักลงทุนชาวฟินแลนด์ แต่คำปฏิเสธ ไม่อาจเรียกความมั่นใจของนักลงทุนได้ หุ้นจึงถูกถล่มขายอย่างต่อเนื่อง
DNA ตกอยู่ในมรสุมข่าวร้ายกระหน่ำ เพราะคดีการฉ้อโกงเงินดิจิทัล บิทคอยน์ จำนวน 5,564 เหรียญ คิดเป็นเงินประมาณ 797 ล้านบาท มีอดีตกรรมการและผู้ถือหุ้นใหญ่ ทั้งในอดีตและปัจจุบันเข้าไปมีส่วนพัวพัน
นอกจากนายปริญญา จารวิจิต อดีตกรรมและผู้ถือหุ้นใหญ่ DNA ซึ่งหนีออกไปนอกประเทศ โดยถูกระบุว่าเป็นตัวการใหญ่ในการวางแผนหลอกต้มนายเออาร์นี แล้ว ยังมีอดีตนายทหารผู้กว้างขวาง นายธรรมนัส พรหมเผา หรือผู้กองธรรมนัส ซึ่งถือหุ้นใหญ่ DNA ปรากฏชื่อร่วมขบวนการด้วย และอยู่ในข่ายที่ตำรวจกองปราบปรามจะออกหมายเรียก
ผู้กองธรรมนัส มีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ DNA เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2561 หลังจากได้โอนหุ้นจากนายปริญญา จำนวน 8.05 % ของทุนจดทะเบียน โดยการได้มาซึ่งหุ้น DNA เป็น “ ปม ” ที่กองปราบปราม ฯ เตรียมสอบสวนว่า เข้าข่ายการร่วมฟอกเงินหรือไม่
ชื่อของผู้กองธรรมนัส ที่พัวพันคดีโกงเงินบิทคอยน์ ผู้บริหาร DNA จะปฏิเสธสาธารณชนได้อย่างไรว่า DNAไม่เกี่ยวกับขบวนการต้มตุ๋นและฟอกเงิน
ใครเป็นคนชวนหรือเชิญผู้กองธรรมนัส เข้ามาในแวดวงตลาดหุ้น และเข้ามารับภารกิจอะไร สังคมต้องการรู้ และ นายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ อดีตผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์ แอพเพิล เวลธ์ จำกัด ที่อยู่ระหว่างถูกพักใบอนุญาตการเป็นผู้บริหารบริษัทโบรกเกอร์ ยอมรับแล้วว่า เป็นคนดึงผู้กองธรรมนัสเข้ามาในแวดวงตลาดทุน
ช่วงนี้นักลงทุนควรถอยห่างจากหุ้น DNA เพราะ นอกจากมีข่าวร้ายคดีโกงบิทคอยน์แล้ว ผลประกอบการในอดีตจะย่ำแย่ ขาดทุนหลายปีติดต่อ และเป็นหุ้นร้อนที่ดูเหมือนมีเจ้ามือดูแล
ก่อนที่จะมีข่าวฉาวโฉ่ การโกงเงินบิทคอยน์ โดย DNA ถูกพาดพิง ราคาหุ้นถูกกระชากขึ้นไป 4 วันติด ปรับตัวขึ้น 100 % พร้อมกับหุ้นตัวลูก DNA-W1 ที่ดีดตัว 100 % ตาม ทั้งที่ไม่มีข่าวดีสนับสนุน และ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพิ่งประกาศใช้มาตรการกำกับการซื้อขาย เมื่อวันศุกร์ที่ 17 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยต้องซื้อหุ้นด้วยเงินสด
ราคาหุ้น DNA กำลังหัวทิ่มลง จากวันที่ 9 สิงหาคมที่ผ่านมา ขึ้นไปสูงสุดที่ 88 สตางค์/หุ้น เมื่อวันที่ 17 สิงหาคมกลับทรุดลงมาปิดที่ 49 สตางค์ เป็นการซึมซับรับข่าวร้ายคดีโกงบิทคอยน์ และ มาตรการกำกับการซื้อขายเต็มเปา และ ทิศทางราคาหุ้นในระยะสั้นไม่สดใสนัก
เพราะยังไม่รู้ว่า จะได้รับผลกระทบจากคดีโกงบิทคอยน์ ในประเด็นไหนเข้ามาอีก โดยยังมีประเด็นข้อตกลงการซื้อขายหุ้น DNA จำนวน 500 ล้านหุ้น ระหว่างนายประสิทธิ์กับนายเออาร์นี เป็นคดีความกันอยู่ เนื่องจากนายประสิทธิ์ส่งมอบหุ้นให้ได้เพียง 345 ล้านหุ้นเท่านั้น
ปัญหาที่กองปราบปราม และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)จะต้องสอบสวนคือ นายประสิทธิ์นำหุ้น DNA จากไหนไปขายนายเออาร์นี ทำธุรกรรมซื้อขายกันถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ และโอนใส่ชื่อใครเป็นผู้รับ หรือใช้ “นอมินี” เพราะไม่ปรากฏชื่อนายเออาร์นีถือหุ้นใน DNA
สถานการณ์หุ้น DNA ยังไม่ปลอดภัย โดยเฉพาะวอแรนต์ เพราะหากนักลงทุนพลาดเข้ามา “ติดกับ ” อาจต้องแบกภาระหนัก เพราะกำหนดสัดส่วนการแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญไว้สูงลิบลิ่ว เพียง 1วอแรนต์ แปลงเป็นหุ้นสามัญได้ 5 หุ้น แม้จะกำหนดอัตราแปลงสภาพเพียงหุ้นละ 10 สตางค์ก็ตาม
แต่เมื่อหมดอายุไขในเดือนกันยายนนี้ ใครถือไว้ ต้องควักเงินก้อนโตใส่ โดยไม่รู้ว่า กิจการจะฟื้นจริงหรือไม่ และถ้าผลประกอบการยังฟุบ เงินที่ถมลงไป จะเสียหายซ้ำสองอีก
สัญญาณถอยออกจากหุ้นตัวนี้ เกิดขึ้นมาก่อนหน้าแล้ว นับตั้งแต่ผลประกอบการขาดทุนหลายปีติดต่อ ผู้ตรวจสอบบัญชีไม่รับรองงบการเงิน และการที่นายปริญญา เทหุ้นไปให้ผู้กองธรรมนัส
สัญญาณที่เตือนนักลงทุนซ้ำคือ ข่าวการโกงเงินบิทคอยน์ นักลงทุนชาวฟินแลนด์วงเงินเกือบ 800 ล้านบาท ซึ่งดึงให้ DNA เข้าไปติดบ่วง
หุ้นตัวนี้จะถูกปกคลุมด้วยข่าวร้ายอีกพักใหญ่ และกลายเป็นหุ้นร้อนที่ไม่ควรแตะ
หมายเหตุ : 1) ที่มาจาก คอลัมน์ " ชุมชนคนหุ้น " โดย สุนันท์ ศรีจันทรา ใน MGR Online เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม ปี พ.ศ 2561
2) โปรดติดตามรายละเอียดการลงทุนใน สภาวะตลาดกระทิง และ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างขาขึ้นรอบใหญ่ได้ใน longtunbysak.blogspot.com