เป็นที่ฮือฮาข้ามปี กับกระแสข่าวดีลยักษ์สะเทือนวงการค้าปลีก อย่างข่าวการประกาศขายกิจการ Tesco lotus ในประเทศไทย ซึ่งจวบจนวันนี้ปรากฏว่าเหลือผู้ท้าชิง คือ 3 ยักษ์ใหญ่อย่าง "ทีซีซี" "ซีพี" และ "เซ็นทรัล" ที่ให้ความสนใจเข้าซื้อกิจการต่อ
ที่มาของดีลนี้ย้อนกลับไปวันที่ 8 ธันวาคม 2562 “Tesco” ค้าปลีกรายใหญ่จากประเทศอังกฤษ ออกแถลงการณ์ระบุว่ากำลังพิจารณาขายธุรกิจในไทยและมาเลเซีย หลังมีผู้สนใจและเสนอซื้อกิจการในไทยและมาเลเซีย
ซึ่งปัจจุบันเทสโก้ โลตัส ถือเป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่ครองส่วนแบ่งทางการตลาดวงการค้าปลีก ข้อมูลจาก Euromonitor ระบุว่า ปี 2020 ไฮเปอร์มาร์เก็ตมีมูลค่า 284,900 ล้านบาท โดย Tesco lotus มีส่วนแบ่งตลาด 70.4% ตามด้วยบิ๊กซี 28.3% และท็อปส์ 1.3%
ซึ่งมีการประเมินว่าดีลการขายเทสโก้ โลตัสครั้งนี้ หากสำเร็จจริง จะมีมูลค่าสูงถึง 2.7-3 แสนล้านบาท ดังนั้น ผู้ที่จะซื้อได้จึงต้องเป็นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่เท่านั้น โดยเมื่อเร็วๆนี้ ‘ทีซีซี’ (บิ๊กซี) เป็นรายแรกที่ออกมาบอกว่าจะซื้อแน่นอน ส่วน ‘เซ็นทรัล’ ยังไม่มีทิศทางที่ชัดเจน และสุดท้าย ‘ซีพี’ ที่ยังคงมองว่าดีลครั้งนี้ราคาค่อนข้างแพงเกินไป เราลองมาวิเคราะห์ผู้เล่นแต่ละรายที่ให้ความสนใจดีลนี้ว่าเป็นอย่างไร
ทีซีซี (บิ๊กซี) ของเสี่ยเจริญ ราชาเทคโอเวอร์ ที่อยากได้เทสโก้ โลตัส มาอยู่ในมือ เพราะอย่าลืมว่าตลาดค้าปลีกในปัจจุบันส่วนแบ่งทางการตลาดของบิ๊กซีอยู่ที่ 28.3 % ถ้าหากเสี่ยเจริญสามารถปิดดีลเทสโก้ โลตัสได้สำเร็จ จะทำให้ทีซีซี ครอบครองส่วนแบ่งทางการตลาดค้าปลีกแบบเบ็ดเสร็จ อาจเรียกว่าตอนนี้เสี่ยเจริญกำลังเดินเกมส์ตามยุทศาสตร์ 1+1 เท่ากับ 1 (บิ๊กซี + โลตัส) = หนึ่งเดียวในตลาด ก็เป็นได้ ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ผู้บริโภคอย่างเราๆจะเสียประโยชน์เพราะกลุ่มทุนจะมีอำนาจต่อรองราคาเต็มที่ ไม่ต้องแข่งขันกับใครซึ่งนอกจากในแง่ของการผูกขาดช่องทางการขายแล้ว ภายใต้เครือทีซีซีเอง ยังเป็นเจ้าของสินค้าอุปโภคบริโภคอีกจำนวนมาก ทำให้คนที่จะลำบากไปด้วยก็คือบริษัทเจ้าของสินค้าคู่แข่งต่างๆ ที่คงจะเสียเปรียบ เพราะต้องไปขอพึ่งพาช่องทางการขายไฮเปอร์มาร์เก็ตจากทีซีซีแต่เพียงผู้เดียว
กลุ่มซีพี หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าในอดีตนั้น ซีพีเป็นผู้ก่อตั้ง “โลตัส” ในเมืองไทย ก่อนที่จะตัดใจขายให้กับ “เทสโก้” ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ซึ่งไม่แปลกที่ดีลการขายเทสโก้ในครั้งนี้ เจ้าสัวธนินท์จะอยากได้กิจการที่ตนเคยปลุกปั้นมากับมือกลับมาในอ้อมอกอีกครั้ง ซึ่งหากซีพีสามารถปิดดีลนี้ได้ จะทำให้กลายเป็น “ผู้นำ” ธุรกิจค้าปลีก แต่ยังไม่ถือว่าผูกขาดในกลุ่มไฮเปอร์มาเก็ตซะทีเดียว เพราะยังคงมี ทีซีซี(บิ๊กซี) ที่ครองส่วนแบ่งการตลาดอีกเกือบ 30% แต่จะเป็นการเสริมความแข็งแกร่ง ของตลาดกลุ่มร้านสะดวกซื้อ (7-11) และกลุ่มศูนย์จำหน่ายสินค้าแบบค้าส่ง(แมคโคร) เพิ่มเติมแทน
กลุ่มเซ็นทรัล วิเคราะห์กันว่า สาเหตุที่กลุ่มเซ็นทรัลเข้าร่วมชิงในดีลนี้ เพราะต้องการเพิ่มพอร์ตธุรกิจค้าปลีกของเซ็นทรัลให้ครอบคลุมทั้ง ห้างสรรพสินค้า (Central), ซูเปอร์มาร์เก็ต (Tops), ร้านสะดวกซื้อ (FamilyMart) และไฮเปอร์มาร์เก็ต (Tesco Lotus)
ศึกครั้งนี้แต่ละรายต่างก็มีเหตุผลในการเข้าซื้อกิจการเทสโก้ โลตัสไม่ต่างกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อต่อยอดธุรกิจเสริมความแข็งแกร่งให้กับอาณาจักรของตัวเอง แต่หากสุดท้ายแล้วดีลนี้ เป็นเสี่ยเจริญแห่งกลุ่มทีซีซีได้ไป ตลาดค้าปลีกบ้านเราคงต้องถูกผูกขาดอยู่แค่เพียงนายทุนเจ้าเดียว ซึ่งนั่นคงจะไม่เป็นผลดีต่อผู้บริโภคอย่างเราๆเป็นแน่
ในแง่ของการประกอบธุรกิจนั้น เข้าใจถึงความจำเป็นในการปรับตัวเพื่อป้องกันการถูกดิสรัป และการเพิ่มอำนาจต่อรองทางการค้า แต่ในแง่ของจริยธรรมทางธุรกิจนั้น การปล่อยให้กลุ่มธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งรวบอำนาจทางการค้าแบบเบ็ดเสร็จมากเกินไปไม่ใช่สิ่งที่สังคมยอมรับได้เท่าไหร่นัก ทั้งนี้ไม่ว่าใครจะได้ดีลนี้ไปครอบครอง โลกยุคใหม่กำลังท้าทายความสามารถในการเอาตัวรอดทุกสิ่งอย่างหนักหน่วงรุนแรง และผู้ที่อ่อนแอก็ต้องยอมพ่ายแพ้ไป ไม่เว้นแม้ในสนามค้าปลีกบ้านเรา