ห้องเม่าปีกเหล็ก

กับดักของ ROE ฉบับมือใหม่ควรรุ้ ?

โดย SiTh LoRd PaCk
เผยแพร่ :
66 views

Return on Equity หรือ ROE ถือเป็นอัตราส่วนสำคัญที่นักลงทุนใช้กันมากที่สุดไม่แพ้อัตราส่วนอย่าง P/E หรือ P/BV เลย ซึ่งส่วนใหญ่จะเข้าใจว่า "ยิ่งสูง ยิ่งดี" แต่จริงๆแล้ว ROE ก็มีศาสตร์ในการใช้งานอยู่ เราไม่สามารถตีความแบบตรงไปตรงมาเลยว่า "ฉันจะเลือกแต่หุ้น ROE สูงๆเท่านั้น" เพียงอย่างเดียว

เรามาดูกันว่า "กับดัก" ของ ROE ที่มือใหม่ควรรู้มีอะไรบ้าง ....

บทความที่เกี่ยวข้อง -- กลยุทธ์เลือกหุ้นโดยใช้ ROE Ratio แบบสั้นๆสำหรับมือใหม่

มีคนบอกว่าบริษัทที่มี ROE สูง น่าสนใจลงทุนมากกว่าบริษัทที่มี ROE ต่ำๆ จริงหรือไม่ ?
ตอบ ไม่แน่เสมอไป ... แม้ว่า ROE จะช่วยให้นักลงทุนมองเห็นภาพคร่าวๆของความสามารถในการทำกำไร แต่ความสามารถในการทำกำไรเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องของ "การกู้เงิน" หมายความว่าบริษัทอาศัยแหล่งเงินทุนจากหนี้สิน (กู้เงิน) มากๆแต่ใช้เงินของส่วนผู้ถือหุ้นน้อย ไม่รบกวนเงินของผู้ถือหุ้น จะทำให้ ROE สูงตาม แต่ในความเป็นจริงบริษัทจะมีภาระหนี้สินตามมาด้วย

แต่เรื่องของการกู้เงินมาลงทุนก็เป็นดาบสองคม ถ้ากู้เงินแล้วทำผลตอบแทนไม่ดี ดอกเบี้ยจะกินกำไร ทำให้ไม่ตกมาในส่วนของผู้ถือหุ้น แต่ถ้าอยู่ในจังหวะดี ทำแล้วมีกำไรมากตาม บริษัทใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพจะเป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ส่วนผู้ถือหุ้นก็จะได้รับผลประโยชน์ตามไปด้วย อาจจะมาในแง่ของราคาหุ้นที่พุ่งขึ้น หรือปันผลที่มากตาม

== เคล็ดลับการดู ROE ==

 

1.ROE สูงเพราะกู้เงินเยอะหรือไม่
อย่างที่กล่าวไป ROE สูงเพราะเกิดจากการกู้เงิน เป็นเหมือนดาบสองคม ยิ่งกู้มาก ROE ยิ่งสูง แต่ความเสี่ยงสูงตาม นักลงทุนควรดูอัตราส่วน D/E หรือ หนี้สินหารด้วยส่วนของผู้ถือหุ้น อัตราส่วนนี้ "ยิ่งสูง ยิ่งไม่ดี"

บริษัทกู้เงินมาก D/E = 4 เท่า แบบนี้ดูไม่ดีแน่ ...

ตามตำราบอกไว้ว่า อัตราส่วน D/E ในหุ้นที่มีคุณภาพไม่ควรเกิน 2 เท่า ครับ

2. ผลประกอบการที่ผ่านมาส่งให้ ROE มีความสม่ำเสมอหรือไม่
การรักษา ROE ให้สูงอย่างต่อเนื่องเป็นเรื่องไม่ง่าย เพราะถ้ากำไรดีจะเป็นการชักชวนให้คู่แข่งเข้ามาอยู่ในอุตสาหกรรมด้วย ส่งผลให้เกิดการแข่งขัน สงครามราคา ทำให้บริษัทยากแก่การรักษา ROE ในระดับสูงได้นาน

ถ้าบริษัทหนึ่งมี ROE ที่ 15 เท่า การรักษาให้สม่ำเสมอ คือ ปีหน้าจะต้องทำเพิ่มอีก 15% ในฐานที่สูงขึ้นกว่าเดิมเป็นเรื่องที่ยากมากซึ่งในความเป็นจริง ธุรกิจที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างต่อเนื่องเช่นนี้ได้ต้องเป็นธุรกิจที่มีความสามารถในการแข่งขันอย่างสูง และใช้เงินลงทุนได้อย่างคุ้มค่า

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนคงจะคาดหวัง ROE ที่สม่ำเสมอตลอดไป คงเป็นไปไม่ได้ในโลกของความเป็นจริง เอาเป็นว่าเกาะกลุ่ม ไม่ขึ้นลงแรงมากถือว่าพอใช้ได้ครับ

 

3. ระวังบริษัท IPO และบริษัทที่เพิ่งออกจากหมวดฟื้นฟูกิจการ
บริษัทที่กำลังจะ IPO ในเร็วๆนี้ต่างก็จะพยายามทำบัญชีให้ออกมาดีที่สุด สวยที่สุดเพื่อจะได้ขายหุ้นด้วยราคาที่สูง ส่งผลให้ ROE ออกมาดูดีเกินกว่าความเป็นจริง หรือแม้กระทั่งบริษัทที่เพิ่งออกจากหมวดฟื้นฟูกิจการบางครั้งอาจจะมี ROE เพิ่มสูงขึ้นได้ในระยะเวลาอันสั้น สาเหตุเนื่องมาจากการปรับโครงสร้างหนี้ โดยผลการดำเนินงานเปลี่ยนจากการขาดทุนในอดีตมาเป็นทำกำไรได้ในปีปัจจุบัน ทำให้ ROE เพิ่มสูงขึ้นทันทีได้

4. ระวังหุ้นวัฐจักร
บริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีลักษณะเป็นวัฏจักร (Cyclical) เช่น วัสดุก่อสร้าง ปิโตรเคมี เหล็ก หรือ ผลิตภัณฑ์การเกษตร บางปีบริษัทจะมีผลกำไรตกต่ำเพราะส่วนใหญ่แล้วราคาและต้นทุนของกิจการเหล่านั้น จะถูกกำหนดจากอุปสงค์และอุปทานของสินค้ามากกว่าที่จะถูกกำหนดโดยบริษัท ถ้าปีใดราคาสินค้าลดลงก็จะทำให้บริษัทมี ROE ในปีนั้นต่ำไปด้วย แต่บางปีอาจจะเป็นขาขึ้นของอุตสาหกรรมนั้นๆ ทำให้บริษัทมีผลการดำเนินงานดี และมีกำไรสูงขึ้น ผลพลอยได้ก็คือทำให้ ROE ของบริษัทในปีนั้นสูงตามขึ้นไปด้วย

== สรุป ==
นักลงทุนที่จะใช้อัตราส่วน ROE ในการวัดมูลค่าหุ้น จำเป็นจะต้องประเมินถึงศักยภาพในการทำกำไรของบริษัทให้เข้าใจถึงที่มาของกำไรว่าเป็นอย่างไร มีการกู้เงินมาลงทุนมากน้อยแค่ไหนโดยดูจากอัตราส่วน D/E โดยปกติไม่ควรเกินกว่า 2 เท่า ครับ


SiTh LoRd PaCk