รายงานพิเศษ : เมื่อสหรัฐฯ จำกัดส่งออกชิปไปจีน สิ่งที่เกิดขึ้นคือ?

เมื่อวันศุกร์ (7 ต.ค.) ที่ผ่านมา กรมการค้าสหรัฐฯ ได้ประกาศกฎต่างๆ ในเรื่องการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีไปยังจีน เพื่อตัดจีนออกจากการได้รับหรือผลิตชิปสำคัญ และชิ้นส่วนสำหรับคอมพิวเตอร์ขั้นสูง ซึ่งเหมือนกับว่าเป็นการยกระดับความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐฯ ในด้านเทคโนโลยี
.
จีน ก็มีความพยายามที่จะให้อุตสาหกรรมผลิตชิปในประเทศมีการพัฒนา จึงกลายเป็นว่า การประกาศดังกล่าวทำให้เพิ่มความยากลำบากสำหรับอุตสาหกรรมนี้ และยิ่งทำให้ต้นทุนการพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ยิ่งสูงขึ้นไปอีก
.
สหรัฐฯ ระบุว่า ที่ต้องออกกฎเช่นนี้เนื่องจากว่า จีนสามารถใช้เซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงในการเพิ่มศักยภาพทางการทหารขั้นสูงได้
.
นักวิเคราะห์มองว่า การดำเนินการดังกล่าว ทำให้ความสัมพันธ์อันตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีน มาถึงจุดที่ไม่อาจหวนกลับได้
.
ประเด็นสำคัญของกฎการควบคุมใหม่ของสหรัฐฯ ประกอบด้วย
.
บริษัทต่างๆ จะต้องมีใบอนุญาตในการส่งออกชิปคุณภาพสูง ที่ออกแบบสำหรับแอปพลิเคชั่นปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไปยังจีน
.
การควบคุมนี้ ครอบคลุมถึงชิปที่ผลิตโดยต่างชาติที่เกี่ยวข้องกับ AI และคอมพิวเตอร์ขั้นสูง ที่ใช้เครื่องมือและซอฟท์แวร์อเมริกันในการออกแบบและผลิต
.
บริษัทสัญชาติสหรัฐฯ จะต้องคุมเข้มการส่งออกเครื่องจักรไปยังบริษัทสัญชาติจีนที่ผลิตชิปของเทคโนโลยีขั้นสูงโดยเฉพาะ
.
เห็นได้ชัดว่า กฎระเบียบใหม่นี้ ไม่ได้แสดงว่าสหรัฐฯ ต้องการที่จะสร้างความสัมพันธ์อันดีใหม่กับจีน สหรัฐฯ มองการแข่งขันในเรื่องนี้จริงจังกว่าเมื่อก่อนมาก และพยายามทุกวิถีทาง ที่จะชนะการแข่งขันนี้
.
จีนจะได้รับผลกระทบอะไรบ้างจากมาตรการจำกัดการส่งออกนี้ของสหรัฐฯ
.
เซมิคอนดักเตอร์ เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีสำคัญมากที่สุด เป็นส่วนประกอบตั้งแต่สมาร์ทโฟน รถยนต์ ตู้เย็น และยังเป็นกุญแจสำคัญของแอปพลิเคชั่นทางทหาร และปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูง
.
เมื่อความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐฯ เพิ่มมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยี โดยเฉพาะ ชิป ก็ถูกลากเข้าไปร่วมสงครามความขัดแย้งนี้
.
AI ควอนตั้ม คอมพิวติ้ง และเซมิคอนดักเตอร์ เหล่านี้จีนระบุว่าเป็น “เทคโนโลยี ชายขอบ” เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตในประเทศที่จะมาแข่งขันกับสหรัฐฯ แต่กฎใหม่ของสหรัฐฯ จะทำให้การดำเนินการของจีน โดยเฉพาะการพัฒนาชิปเป็นไปอย่างยากลำบาก
.
ดูเหมือนว่า สหรัฐฯ จะไม่ได้เน้นเป้าหมายที่จะความล้ำหน้าจีนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ แต่เป็นการไม่ให้จีนเข้าถึงเทคโนโลยีชิปขั้นสูงเลยทีเดียว
.
แล้วมาตรการที่ออกมาจำกัดการส่งออกชิปไปจีนนั้น ทำไมจึงส่งผลต่อผู้ผลิตชิปรายอื่นๆ
.
อย่างที่ได้ไฮไลท์ข้างต้น มาตรการนี้ครอบคลุมชิ้นส่วนหลายชนิดในห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ แม้ว่าจะไม่ได้ผลิตในสหรัฐฯ หรือควบคุมโดยบริษัทสัญชาติอเมริกันก็ตาม
.
หนึ่งในนั้นคือ การใช้เครื่องจักรสัญชาติอเมริกันผลิตชิ้นส่วนนั่นเอง
.
แม้ว่าสหรัฐฯ จะไม่ได้มีมาร์เก็ตแชร์มากอย่างในอดีตในด้านการผลิตชิป แต่บริษัทไต้หวัน อย่าง TSMC บริษัทเกาหลีใต้ อย่าง ซัมซุง ที่ได้กลายมาเป็นผู้ผลิตชิปขั้นสูงและทันสมัยมากที่สุดในโลกในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา แซงหน้า Intel ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ นั้น กลับเป็นผู้พึ่งพาเครื่องจักรและอุปกรณ์ในการผลิตชิปของสหรัฐฯ มากที่สุด
.
ทั้งตลาดไต้หวันและเกาหลีใต้ เป็นตลาดที่มีการผลิตชิปที่บริษัทอื่นๆ ออกแบบ คิดเป็นสัดส่วนถึง 80% ของตลาดผลิตชิปทั่วโลก
.
สหรัฐฯ ก็มีบริษัทที่ผลิตเครื่องมือออกแบบชิปซึ่งใช้ในหลายๆ บริษัทในห่วงโซ่อุปทานการผลิตชิป ดังนั้น หาก TSMC ผลิตชิป ซึ่งแน่นอนใช้เครื่องมืออุปกรณ์ของสหรัฐฯ ในการผลิต ชิปจาก TSMC ก็จะอยู่ภายใต้กฎจำกัดการส่งออกไปยังจีน
.
จึงอธิบายได้ว่า ทำไมบริษัทผู้ผลิตชิปในไต้หวัน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น จึงได้รับผลกระทบจากมาตรการล่าสุดของสหรัฐฯ นี้ เพราะไม่สามารถส่งออกชิปไปยังจีนได้ หากจะส่งออก ก็ต้องขอใบอนุญาต และถ้าส่งออกไม่ได้ นั่นหมายถึงผลประกอบการที่ลดลงของบริษัทผู้ผลิตชิปเหล่านั้นเช่นกัน
.
ท้ายที่สุด จีน ต้องหันมาผลิตเครื่องมือออกแบบและผลิตชิปเอง ไม่ใช่ว่าจีนจะทำไม่ได้ แต่เครื่องจักรอุปกรณ์เหล่านั้น มากับการลงทุนมหาศาล และการพัฒนาขั้นสุดเพื่อต่อสู้ในอุตสาหกรรมนี้ต่อไป
.
ส่วนบรรดาผู้ผลิตชิป ก็ต้องหาทางจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผลประกอบการ
.
เหมือนว่าสหรัฐฯ จะชอบใช้วิธีการเด็ดดอกไม้ สะเทือนไปทั้งโลก เสียจริงๆ
***********************************