ห้องเม่าปีกเหล็ก

ถึงเวลา 5 หุ้นใหญ่ รับเหมา-วัสดุก่อสร้าง

โดย Durant
เผยแพร่ :
63 views

ถึงเวลา 5 หุ้นใหญ่ รับเหมา-วัสดุก่อสร้าง เข้าฟอร์มเมื่อรัฐจะประมูลงานแสนล้าน

นาทีนี้กลุ่มรับเหมาก่อสร้างเริ่มทยอยมีข่าวดี สตอรี่ให้เล่นกันบ้างแล้ว เพราะจะมีงานประมูลโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐออกมาให้ประมูลกันกว่าหลายแสนล้านบาท แต่อย่างไรก็ตามอาจจะต้องระวังเรื่องการลงทุนเพราะเป็นเพียงแค่ข่าวดีหนุนปัจจัยบวกต่อราคาหุ้น


“สำหรับประเด็นที่น่าสนใจคือแนวนโยบายในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งฝ่ายวิจัยประเมินว่าน่าจะเริ่มให้น้ำหนักการลงทุนภาครัฐมากขึ้น โดยล่าสุดเริ่มเห็นกระแสความคืบหน้าการลงทุนภาครัฐที่ชัดเจนขึ้นอีกครั้ง โดยกระทรวงคมนาคมจะเตรียมเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติโครงการท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 ระยะที่ 2 วงเงิน 84,361 ล้านบาท ในวันที่ 9มี.ค.64 โดยปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างเจรจากับกลุ่ม GPC


นอกจากนี้กรณีที่นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เปิดเผยว่า ภายในครึ่งแรกของปี 64 จะมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้าน 5G เพิ่มเติมอีก โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC ซึ่งจะช่วยหนุนให้โครงการ 5G ของไทยเดินหน้าเร็วกว่าประเทศเพื่อนบ้าน


โดยกระแสการเดินหน้าผลักดันโครงการลงทุนต่างๆของภาครัฐข้างต้น ถือว่าสอดคล้องกับการที่ฝ่ายวิจัย ทั้งนี้ประเมินว่าในปี 64 มีโครงการที่คาดจะเปิดประมูลประมาณ 4.58 แสนล้านบาท เช่นโครงการรถไฟทางคู่บ้านไผ่-นครพนม,เด่นชัด-เชียงของ รถไฟฟ้าสีส้มช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี,รถไฟฟ้าสีม่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ,รันเวย์สนามบินสุวรรณภูมิ” บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุ

ดังนั้นเองจึงอาจจะเป็นปัจจัยในเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่ราคาหุ้นจะวิ่งขึ้นก็ต้องสตอรี่ข่าวงานประมูลของภาครัฐเข้ามาช่วยหนุน ซึ่งถือเป็นรูปแบบของการเล่นหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่ ราคาหุ้นจะวิ่งขึ้นไปตามรอบระยะเวลาของข่าวดีจากงานเปิดประมูลของภาครัฐ


โดย Wealthy Thai ได้รวบรวม 5 หุ้นใหญ่ที่อยู่ในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่ขณะนี้ราคาหุ้นยังไม่ไหนถึงไหน หลังจากที่กลุ่มอื่นๆทะยานบวกขึ้นเหนือชนะตลาดไปมากแล้ว ทั้งนี้เชื่อว่าจากปัจจัยที่ไล่เรียงมานั้นจึงอาจจะทำให้หุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างปรับตัวขึ้นได้ และช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนที่ยังคงถือหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างกันอยู่


ทั้งนี้หุ้นดังกล่าวประกอบไปด้วย 1.CK หรือ ช.การช่าง ผู้รับเหมาก่อสร้างที่มีธุรกิจรอบๆตัว หรือบริษัทย่อยที่ดำเนินธุรกิจด้านสาธารณูปโภคทั้งธุรกิจไฟฟ้า และธุรกิจน้ำเพื่อการอุตสาหกรรมรวมถึงน้ำประปา 2. STEC หรือ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง ผู้รับเหมาก่อสร้างที่ถือว่าขณะนี้มีงานในมือมากที่สุดเลยก็ว่าได้ และนอกเหนือจากธุรกิจรับเหมาแล้วก็ยังมีบริษัทร่วมทุนไปพัฒนาธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานหลายแห่งทั้งสนามบิน และอสังหาริมทรัพย์


3.SCC ยักษ์ใหญ่เจ้าของโรงงานปูนซีเมนต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย รวมถึงมีโรงงานปูนซีเมนต์แห่งอื่นๆในประเทศเพื่อนบ้าน แต่อย่างไรก็ตามสัดส่วนรายได้และกำไรจากธุรกิจปิโตรเคมียังคงสร้างผลประกอบการให้ SCC เป็นหลัก แต่ต้องไม่ลืมว่าปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างก็ยังมีส่วนช่วยผลักดันรายได้


4.UNIQ หรือ ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น ผู้รับเหมาก่อสร้างที่จะคอยรับงานโครงการประเภทโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐเป็นหลัก ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาภาครัฐไม่ค่อยออกประมูลงานโครงการขนาดใหญ่ก็ส่งผลให้ผลประกอบการรายได้และกำไรของ UNIQ หายลดลงตามไปด้วย และ5. ITD หรือบริษัท อิตาเลียนไทย ราคาหุ้นรูดลงตั้งแต่มีข่าวเสียหายที่ไม่เกี่ยวข้องกับบริษัท แต่ก็พอจะโยงกันได้มาหลายปี รวมถึงล่าสุดโครงการทวายที่เคยคาดหวังไว้ และร้างรามานานก็ถูกยกเลิกสัมปทาน ส่อแววอาจจะต้องตั้งสำรอง



CK บริษัทลูกยังช่วยหนุน

สำหรับอนาคตในแต่ละบริษัทจะเป็นอย่างไรบ้าง Wealthy Thai จะพาไปดู โดยเริ่มกันที่ CK โดยบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า(ประเทศไทย) จำกัด ในปี 64 คาดหวังงานใหม่เป็นปัจจัยหนุน ซึ่งในปี 63 CK มีงานใหม่ที่ได้รับระหว่างปี 6.2 พันล้านบาท โดยยังไม่มีงานใหม่โครงการใหญ่จากภาครัฐเข้ามา


โดยในปี 64 มีงานใหม่ที่คาดหวังการเข้าประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้มต่อขยาย (บางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรม) มีโอกาสขายซองในเดือน เม.ย. และรถไฟฟ้าสายสีม่วง( เตาปูน -ราษฎร์บูรณะ) เตรียมขายซองประมูล เดือน มิ.ย. วงเงิน 2 โครงการโดยรวม 2.4 แสนล้านบาท นอกจากนั้นยังมีงานอื่นคืองานรถไฟทางคู่เส้นทางใหม่ งานโรงไฟฟ้าพลังน้ำ หลวงพระบางที่ประเทศลาว วงเงิน 1 แสนล้านบาท คาดมีความชัดเจนภายในปี 2564 จะเป็นส่วนช่วยหนุนงานในมือให้กลับมาเติบโตอีกครั้ง


สำหรับคำแนะนำ “ซื้อลงทุน” เราคาดสถานการณ์ขอ CK ทั้งจากงานใหม่ที่คาดหวังได้รับ และผลประกอบการคาดจะเห็นการฟื้นตัวใน 2Q64 หลังผลกระทบจาก COVID-19 คลี่คลายช่วยเพิ่มผู้ใช้บริการทั้งรถไฟฟ้าของ BEM และมีเงินปันผลรับจาก TTW เข้าช่วย หากการประมูลของโครงการใหญ่เป็นไปตามคาด และมีงานใหม่เพิ่มระหว่างปี ธุรกิจก่อสร้างมีโอกาสฟื้นตัวในครึ่งหลังปี 64 ราคาเหมาะสมปี 2564 ที่26.70 บาท (SOTP)


ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แนวโน้มผลประกอบการ Backlog ปัจจุบันของ CK ต่ำเพียงประมาณ 2.9 หมื่นล้านบาท ในขณะที่งานประมูลใหม่มีความล่าช้า กดดันผลประกอบการธุรกิจรับเหมาไม่เด่น ทางด้านส่วนแบ่งกำไรจาก BEM และ CKP ปี 2564 คาดจะดีขึ้น ซึ่ง BEM ปีก่อนประสบปัญหา Covid-19 ในไตรมาส 2Q63 ส่วน CKP โครงการโรงไฟฟ้าน้ำงึม2 มีการเก็บน้ำไว้ผลิตไฟฟ้าในปีนี้ เราคาดยอดรับรู้รายได้ปีนี้ 19,050 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.8% และ คาดจะมีกำไรที่ดีขึ้น 1,080 ล้านบาท โต 76%



STEC หุ้นหนูที่ไม่หนู

บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ยังคงคาดการณ์ว่าผลประกอบการจะกลับมาเพิ่มขึ้นในปี 64 เนื่องจากโครงการรัฐสภาใกล้เสร็จ และส่วนโครงการที่กำไรดีเริ่มคืบหน้า เช่น โรงงานไฟฟ้าที่ปลวกแดงและหินกอง ปัจจุบันมีงานในมือ 1.17 แสนลบ. (รวมโครงการสนามบินอู่ตะเภาที่กำลังจะเซ็นสัญญามูลค่า 2.7 หมื่นลบ. อีกทั้งยังมีโครงการรอประมูลอีกหลายโครงการ เช่น รถไฟรางคู่ รถไฟฟ้าสายสีส้ม และสายสีม่วง โดยปรับประมาณการปี 64-65 ขึ้นปีละ 1%  ทำให้ราคาเป้าหมายเพิ่มเป็น 18 บาท



SCC ธุรกิจปูนซีเมนต์กำลังมา

หุ้นใหญ่ในกลุ่มวัสดุก่อสร้างที่จะได้รับอานิสงส์หากงานโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐเริ่มเปิดประมูลขึ้น ไม่เพียงแค่นั้น เมื่อรัฐบาลเกิดความเชื่อมั่นว่าจะลงทุนในโครงการใหญ่ก็เสมือนเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับภาคเอกชนที่กำลังลังเลอยู่ว่าจะลงทุนหรือไม่ ดังนั้นเองจะช่วยเพื่อให้ยอดการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศเติบโตขึ้น นอกจากนี้ยังมีวัสดุก่อสร้างหลายชนิดที่จะได้รับประโยชน์ไปด้วย


โดยบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) มองว่า ธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง ได้อานิสงค์จากการก่อสร้างโครงการภาครัฐ และในช่วงครึ่งปีหลังคาดจะได้อุปสงค์จากโครงการที่อยู่อาศัยกลับเข้ามาหนุนหลังจากที่มีการฉีดวัคซีน นอกจากอุปสงค์ที่กำลังฟื้นตัวแล้ว บริษัทพยายามขยายมาร์จิ้นด้วยการขยายหน้าร้าน services & solutions ไปจนถึงการลดต้นทุนด้วยการสร้างโรงไฟฟ้าโซล่าร์และขยะการเกษตรเอง


สำหรับธุรกิจเคมีคอล คาดเห็นอุปสงค์ฟื้นตัวขึ้นตามเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าคงทนซึ่งได้ฟื้นตัวตั้งแต่ 3Q20 แล้ว ส่วนธุรกิจแพคเกจจิ้ง อุปสงค์ยังคงแข็งแกร่งจากการเติบโตของการค้าออนไลน์ และคลื่นลูกนี้ยังคงอยู่ต่อไป บริษัทมองโอกาสการ M&A ในภูมิภาคอาเซียน โดยแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 460 บาท



ITD โครงการทวายทำพิษ

บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มองว่า การที่ ITD มี Backlog รวมประมาณ 4.25 แสนล้านบาท แต่ถ้าตัด สัมปทานโครงการท่าเรือและทางรถไฟในโมซัมบิค และ ทางด่วนที่ Dhaka 1.48 แสนล้านบาท จะเหลือ Backlog 2.77 แสนล้านบาท


โดยจะช่วยหนุนยอดรับรู้รายได้ของ ITD ยังอยู่ในระดับสูง แต่โครงการขนาดใหญ่หลายโครงการที่ ITD ลงทุน คือ โครงการทวาย ได้ใช้เงินลงทุนไปแล้ว 7,825 ล้านบาท โครงการเหมืองแร่โปแตช 3,247 ล้านบาท และ โครงการในโมซัมบิก 2,284 ล้านบาท ยังสร้างภาระทั้งค่าใช้จ่าย และ ภาระดอกเบี้ยหนี้เงินกู้


สำหรับโครงการทวาย ล่าสุดคณะกรรมการบริหารเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย แจ้งยกเลิกสิทธิสัมปทานทุกโครงการ แต่ภายใต้สัญญา Tripartite Memorandum กลุ่มบริษัทจะได้รับเงินคืนจากผู้ลงทุนรายใหม่ของแต่ละโครงการสัมปทาน


ส่วนคำแนะนำการลงทุน การที่ ITD มีภาระหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูง ณ สิ้นปี 63 เท่ากับ 4.95 หมื่นล้านบาท หรือ คิดเป็นสัดส่วน หนี้สินสุทธิต่อทุนที่สูงเท่ากับ 2.77 เท่า เทียบกับ Debt Covenant ไม่เกิน 3 เท่า ถ้าหาก ITD ต้องตั้งสำรองโครงการทวายจะทำให้ผิดเขื่อนไข Debt Covenant นี้ ITD มีมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้นเท่ากับ 2.5 บาท


ดังนั้นจึงประเมินราคาเป้าหมายบนฐานข้อมูลของ Bloomberg เฉลี่ย 10 ปี Forward P/BV – 1.5SD ประมาณ 0.50X ได้เท่ากับ 1.2 บาท ลดลงจาก 1.60 บาท จากความเสี่ยงโครงการทวาย คงคำแนะนำ ถือ แต่ช่วงนี้ชะลอตัวการลงทุนก่อน



UNIQ ลุ้นจะได้งานใหม่

บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด มีมุมมองว่า อัตรากำไรขั้นต้น และผลประกอบการจะดีขึ้นในอนาคตจากการรับรู้รายได้ของโครงการใหม่ๆ โดยคาดว่าในปัจจุบัน UNIQ มีงานในมือราว 2.1 หมื่นล้านบาท แต่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นต่อในอนาคตจากการชนะโครงการประมูลใหม่ๆ ในอนาคต ซึ่งแนะนำให้ “ถือ” โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 4.40 บาท ทั้งนี้ปรับประมาณการปี 64-65ลง 37 – 39% ตามลำดับ เนื่องมาจากดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้น และสะท้อนผลประกอบการไตรมาส 4/63 ทำให้มูลค่าที่เหมาะสมของเราลดลงจาก 5.10 บาท เป็น 4.40 บาท อิง PER ที่ 16.6 เท่า แนะนำให้ “ถือ”

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


Durant