ครั้งหนึ่งวอเร็น บัฟเฟตต์ นักลงทุนระดับตำนานบอกว่า บุคคลที่มีอิทธิพลทางความคิดในเรื่องของการลงทุนของเขามีอยู่ 2 คน คนแรกคืออาจารย์ของเขา "เบน" เบนจามิน เกรเฮม และคนที่สองคือ ฟิลลิป ฟิชเชอร์ ในอดีตดุเหมือนว่าอิทธิพลของเกรเฮมจะมีมากกว่า แต่ในตอนนี้บัฟเฟตต์บอกว่าในเลือดของเขามีส่วนผสมของฟิชเชอร์ถึง 70% และอีก 30% คือ เบน เกรเฮม
ฟิลลิป ฟิชเชอร์ เขาเป็นคนเก่งขนาดนั้นเชียวหรือ ?
ฟิลลิป ฟิชเชอร์ (Philip Fisher) มีชีวิตอยู่ในช่วงปี 1907-2004 เป็นนักคิด นักลงทุน นักจิตวิทยาเกี่ยวกับการลงทุนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงมากคนหนึ่ง เขาทำงานอยู่ในออฟฟิศเล็กๆแห่งหนึ่งที่ West Coast หลังจากที่พลาดท่ากับตลาดหุ้นในช่วงของวิกฤตเศรษฐกิจหายนะตลาดหุ้นสหรัฐ the Great Depression แล้วเขาก็กลับมาใหม่ด้วยกลยุทธ์ที่เน้นในเรื่องของ "ซื้อแล้วถือ" โดยอิงอยู่กับปัจจัยพื้นฐานและการเติบโตของกิจการ รวมถึงมูลค่าที่เหมาะสมซึ่งเป็นสิ่งที่พัฒนามาจากแนวคิดของเบนจามิน เกรเฮม หลังจากนั้นเขาก็ทำงานเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย Stanford School of Business และเขียนหนังสือด้านการลงทุนหลายเล่ม แต่เล่มที่มีชื่อเสียงมากที่สุด คือ Common Stocks and Uncommon Profits (ชื่อไทย คือ หุ้นสามัญกับกำไรที่ไม่สามัญ แปลโดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร)
วันนี้ผมจะมาสรุปหลักการของหนังสือ Common Stocks and Uncommon Profits ที่ได้จากการอ่านครับ

เครดิตภาพ : pantip.com
- บริษัทเป็นเจ้าของสินค้าหรือบริการที่มีความได้เปรียบทางการแข่งขันหรือไม่ นั้นหมายถึง ในแต่ละปีบริษัทสามารถขายสินค้าเพิ่มขึ้นทุกปีได้หรือไม่ ถ้าบริษัทที่ขายสินค้าได้น้อยลงอาจจะเป็นสัญญาณของสินค้าที่ล้าสมัยและตะวันตกดินลงไปเรื่อยๆ
- เมื่อบริษัทขายสินค้าได้มากขึ้น แล้วกำไรของบริษัทเติบโตขึ้นตามยอดขายหรือไม่ ถ้าบริษัทเร่งขายสินค้ามากเกินไป กำไรของบริษัทก็จะไม่ดีเท่าที่ควร มันจะเป็นเรื่องไม่มีประโยชน์เลยที่เราขายสินค้าแต่กลับขาดทุนหรือมีอัตรากำไร (Margin) ที่น้อยลงเรื่อยๆ
- บริษัทมีฝ่ายวิจัยที่แข็งแกร่งหรือไม่ และงบที่ใช้ในการวิจัยคิดเป็นขนาดเท่าไรเมื่อเทียบกับยอดขาย
- ทีมขาย ฝ่ายขายของบริษัทมีศักยภาพมากน้อยขนาดไหน
- อัตรากำไรสุทธิ (Profit Margin) เป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับยอดขาย
- อัตรากำไรสุทธิย้อนหลังหลายๆปี มีแนวโน้มเป็นอย่างไร คงตัว ลดลง หรือเพิ่มมากขึ้น
- พนักงานของบริษัทหรือแม้แต่คนงานระดับล่าง มีศักยภาพที่ดีหรือไม่ มีความพอใจในการทำงานกับบริษัทหรือเปล่า เพราะถ้าลูกจ้างหรือคนงานไม่มีความสุขในการทำงานในองค์กร นั้นเป็นสัญญาณเริ่มต้นของหายนะของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการประท้วง การขอขึ้นเงินเดือน บอยคอร์ตกับสิ่งที่ตัวเองคิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม และนั้นหมายถึงบริษัทจะต้องจ่ายเงินออกไปมากขึ้น
- ฝ่ายทีมบริหาร มีความสามารถเพียงพอหรือมีกลยุทธ์ที่จะสร้างกำไรให้บริษัทได้มากน้อยแค่ไหน
- โครงสร้างรายจ่ายของบริษัทเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นรื่องของต้นทุนขายที่โตมากกว่ายอดขายก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ไม่ดี หรือแม่่แต่ยอดขายของบริษัทเท่าเดิมแต่กลับมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่เพิ่มมากขึ้น ก็ถือเป็นสัญญาณตกต่ำของบริษัท
- ในอุตสาหกรรมของบริษัท แข่งขันกันสูงหรือไม่ มีการเล่นสงครามราคากันมากน้อยขนาดไหน ซึ่งสงครามราคามีกันในทุกอุตสาหกรรมในยุคของตลาดเสรี
- กลยุทธ์ระยะสั้น ระยะยาว ของบริษัทเป็นอย่างไร เป้าหมายอนาคตของบริษัทมีคุณค่าที่จะลงทุนขนาดไหน และที่สำคัญคือนักลงทุนจำเป็นจะต้องประเมินให้ออกว่าสิ่งที่ผู้บริหารพูดมีโอกาสเป็นไปได้ หรือเป็นไปได้ยากมาก
- การทำนายการเติบโตของบริษัทโดยผู้บริหาร โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะพลาดเป้า
- เมื่อผู้บริหารทำงานผิดพลาด เขายอมรับที่จะคุยกับนักลงทุนหรือไม่ หรือกล่าวขอโทษที่ทำให้เงินของนักลงทุนเสียหาย ทุกๆคนสามารถทำผิดพลาดได้ แต่ถ้าผิดแล้วรู้จักแก้ไข ก็ถือเป็นเรื่องที่ดี
- ทีมบริหาร มีคุณธรรมและจริยธรรมขนาดไหน ถ้าทีมบริหารไม่มีจริยะธรรม สิ่งที่เขาจะทำมีเพียงอย่างเดียว คือ โกงบริษัทอย่างไรให้ได้มากที่สุด
ข้อห้าม 4 ประการ ของฟิลลิป ฟิชเชอร์
- อย่าซื้อหุ้นที่ราคาแพง หรือให้ค่าพรีเมียมกับบริษัทมากจนเกินไปไม่ว่าบริษัทจะดีขนาดไหนก็ตาม
- อย่ามองข้ามหุ้นดี ถ้าเราพบหุ้นที่ดี ให้จดมันไว้ในสมุดบันทึก เพราะไม่แน่ว่าสักวันเราอาจจะได้เป็นเจ้าของมัน ในราคาที่สมเหตุสมผล หรือนักลงทุนคนอื่นๆเทขายหนีตายอย่างหนัก
- อย่าซื้อหุ้นเพราะสีสันในรายงานประจำปี หรือการต้อนรับที่ดีในงานประชุมผู้ถือหุ้น
- อย่าขายหุ้นออกไปเพียงเพราะว่ามันราคาแพง เพราะการแพงของมันในวันนี้ บริษัทที่เติบโตจะช่วยชดเชยให้มันกลายเป็นของถูกในวันหน้า