ประธานเฟดดัลลัส ชี้ปัจจัยสนับสนุนเฟดขึ้นดอกเบี้ยกำลังมีน้้าหนักมากขึ้น
นายโรเบิร์ต แคปแลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาดัลลัส กล่าวว่า ปัจจัยที่สนับสนุน ให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย กำลังมีน้ำหนักมากขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา สะท้อนจาก
ตลาดแรงงานที่ยังคงปรับตัวดีขึ้น ส่วนอัตราเงินเฟ้อก็ก้าลังเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปสู่เป้าหมาย ของเฟดที่ร้อยละ 2
ซึ่งคำกล่าวของนายแคปแลน สอดคล้องกับความเห็นของนายเอริค โรเซนเกรน ประธานเฟดสาขาบอสตัน ที่กล่าวว่า เฟดเผชิญความเสี่ยงมากขึ้น หากชะลอการปรับขึ้นอัตรา ดอกเบี้ยออกไปนานเกินไป
ดังนั้นการใช้นโยบายคุมเข้มอย่างค่อยเป็นค่อยไปจึงมีความเหมาะสม อย่างไรก็ดี ประธานเฟดบอสตันไม่ได้ระบุว่าเขาคาดหวังให้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก่อนสิ้นปีหรือไม่ แต่ถ้อยแถลงของเขาสอดคล้องกับสิ่งที่ นางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด กล่าวเมื่อเดือนที่แล้วว่า ปัจจัยที่สนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก้าลังมีน้ำหนักมากขึ้น
สศค. วิเคราะห์ไว้ว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดจะพิจารณาจาก ความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐเป็นส้าคัญ ซึ่งสามารถสะท้อนได้จาก 2 ตัวชี้วัดได้แก่
- อัตราเงินเฟ้อ และอัตราว่างงาน ซึ่งจากสถานการณ์ล่าสุด อัตราเงินเฟ้อในช่วง 7 เดือนแรก ของสหรัฐ อยู่ที่ร้อยละ 1.1
- ส่วนอัตราว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 4.9
ซึ่งเป็นตัวเลขที่สะท้อนให้เห็นถึง เศรษฐกิจสหรัฐที่ยังคงทรงตัว แต่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากช่วงก่อนหน้า
อย่างไรก็ตาม ความกังวลด้านเศรษฐกิจโลกก็ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อเศรษฐกิจสหรัฐในอนาคต จึงทำให้ยังไม่มีสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ sentiment ของตลาดในปัจจุบัน ให้ความเห็นว่า เฟดน่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อย 1 ครั้งภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งยัง หลือการประชุมอีก 3 รอบ ได้แก่ รอบเดือนกันยายน พฤศจิกายน และธันวาคม
สังเกตได้จากตลาดหุ้นทั่วโลก ต่างก็มีแรงเทขาย กระดานหุ้นแดงกันมากขึ้น ไม่เว้นแต่ตลาดหุ้นไทยที่ราคาเฉลี่ยรายสัปดาห์ลดลงไปแล้วกว่า 4%
จากตารางดัชนีัทั่วโลก : สังเกตได้จากตลาดหุ้นทั่วโลก ต่างก็มีแรงเทขาย กระดานหุ้นแดงกันมากขึ้น ไม่เว้นแต่ตลาดหุ้นไทยที่ราคาเฉลี่ยรายสัปดาห์ลดลงไปแล้วกว่า 5% ตลาดเกิดความหุ้นผันผวนมากขึ้น
ดังนั้นนักลงทุนต้องติดตามประเด็นเรื่องการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดกันต่อไป เนื่องจากถ้าขึ้นดอกเบี้ย มีโอกาสที่ Fund Flow จะไหลออกจากในประเทศไทยได้ และตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน Fund flow ไหลเข้าในไทยแล้วกว่า 1.1 แสนล้านบาท (YTD) หรือสามารถดูจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าไปที่ 35-36 บาทต่อเหรียญฯ จะมีโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นออกมาเพื่อทำกำไรได้จากอัตราแลกเปลี่ยนด้วย ซึ่งโดยปกติแล้วในช่วงปลายปีจะมีโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติจะขายหุ้นมากกว่าช่วงอื่นๆ
ขอบคุณที่มา : Settrade, สศค. , Efin stockpickup