"เฟดคงดอกเบี้ย, ทรัมป์ปรับเกม AI, Apple ท้าชน Google เขย่าตลาดโลก" | Podcast Available
เมื่อวานเป็นอีกวันที่ 1 วันพันกว่าเรื่องค่ะ ตั้งแต่ การประชุมเฟด, ทรัมป์" ที่ยังคงเขย่าเวทีการค้าโลกและนโยบายเทคโนโลยี, ข่าวซุบซิบจากยักษ์ใหญ่อย่าง "Apple" ที่อาจส่งผลสะเทือนถึง Google ค่ะ ดังนั้นวันนี้ยาวหน่อยนะคะ

เฟด "นิ่งสงบ" สยบความผันผวน คงดอกเบี้ยท่ามกลางความไม่แน่นอน
เริ่มต้นกันที่หัวใจสำคัญของข่าวเศรษฐกิจเมื่อคืนนี้ นั่นคือการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) เมื่อวันที่ 7-8 พฤษภาคมที่ผ่านมาค่ะ ซึ่งมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ "คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิมคือ 4.25% ถึง 4.5%" นับเป็นการคงอัตราดอกเบี้ยในระดับนี้ต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่แล้วเลยทีเดียวค่ะ
ทางด้าน เจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ได้ออกมาให้เหตุผลถึงการตัดสินใจครั้งนี้ว่า "ยังไม่จำเป็นต้องรีบร้อน" ในการปรับเปลี่ยนนโยบายดอกเบี้ยในตอนนี้ เฟดขอใช้เวลา "รอดูสถานการณ์" และเก็บข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นของทิศทางเศรษฐกิจ เนื่องจากยังคงมีความไม่แน่นอนสูงในหลายๆ ปัจจัย
โดยแกมองว่า "ต้นทุนของการรอคอยก็ค่อนข้างต่ำ" ในสถานการณ์ปัจจุบัน (ประมาณว่ารอได้ ไม่เสียหายอะไร)
สำหรับมุมมองต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปัจจุบัน คุณพาวเวลระบุว่ายังคงมีสัญญาณที่แข็งแกร่งในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น ตลาดแรงงานที่ยังคง "แข็งแกร่ง" โดยในเดือนเมษายนมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นถึง 177,000 ตำแหน่ง และ อัตราค่าจ้างก็ยัง "ดูดี" ส่วนเรื่อง เงินเฟ้อนั้น "กำลังทรงตัวอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ" แม้จะยังสูงกว่าเป้าหมายที่เฟดตั้งไว้ก็ตาม
และถึงแม้ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในไตรมาสแรกของปี 2025 จะดูเหมือนหดตัวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2022 แต่คุณพาวเวลก็คาดการณ์ว่าตัวเลขดังกล่าวน่าจะมีการปรับให้ดีขึ้นในภายหลัง และมองว่าอุปสงค์หรือความต้องการซื้อภายในประเทศจริงๆ แล้วยังคง "แข็งแรง"
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสำคัญที่เฟดกำลังจับตามองและแสดงความกังวลอย่างมากก็คือผลกระทบจาก "ภาษีศุลกากร" (Tariffs) มากกว่าค่ะ โดยแกเตือนว่า หากการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าในอัตราสูงๆ ที่มีการประกาศออกมายังคงดำเนินต่อไป ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะส่งผลให้ อัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น (ซึ่งอาจจะเป็นผลกระทบระยะสั้นหรือลากยาวก็ได้) การเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัวลง และ อัตราการว่างงานเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้จะทำให้การดำเนินนโยบายการเงินของเฟดมีความท้าทายมากยิ่งขึ้น
นอกเหนือจากการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยแล้ว เฟดยังคงเดินหน้า "ลดขนาดงบดุล" อย่างต่อเนื่องตามแผนเดิมที่ได้ประกาศไว้เมื่อเดือนมีนาคม โดยจะค่อยๆ ลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลลงเดือนละไม่เกิน 5 พันล้านดอลลาร์ และลดการถือครองตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกัน (Mortgage-Backed Securities) ลงเดือนละไม่เกิน 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นการค่อยๆ ดึงสภาพคล่องออกจากระบบอย่างช้าๆ และเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือในการดำเนินนโยบายการเงินที่ตึงตัวขึ้น
ประเด็นเรื่องแรงกดดันทางการเมือง โดยเฉพาะจากประธานาธิบดีทรัมป์ที่ต้องการให้เฟดลดอัตราดอกเบี้ยนั้น คุณพาวเวลได้ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า "ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการทำงานของเฟดเลยแม้แต่น้อย" และเฟดจะยังคงยึดมั่นในการตัดสินใจโดยอิสระบนพื้นฐานของข้อมูลเศรษฐกิจเป็นสำคัญ
แล้วทิศทางดอกเบี้ยในอนาคตจะเป็นอย่างไร? เรื่องนี้ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่นักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญใน Wall Street ค่ะ โดยนักลงทุนในตลาด Swap คาดการณ์ว่าเฟดอาจจะลดอัตราดอกเบี้ยได้อย่างน้อย 3 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี 2025 ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันการเงินชั้นนำหลายแห่งก็มีความเห็นที่หลากหลาย ตั้งแต่คาดว่าจะไม่มีการลดดอกเบี้ยเลย ไปจนถึงอาจจะมีการลดดอกเบี้ย 2-3 ครั้ง
โดยบางส่วนเช่น TD Securities คาดว่าการลดดอกเบี้ยครั้งแรกอาจเกิดขึ้นในเดือนกรกฎาคม ส่วน PIMCO และ JPMorgan Chase & Co. มองว่าน่าจะเป็นเดือนกันยายน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความไม่แน่นอนที่ยังคงอยู่สูง
"ทรัมป์" ยังคงเดินเกมร้อน เขย่าเวทีการค้าโลกและนโยบายเทคโนโลยี
ขณะที่เฟดกำลัง "นิ่ง" เพื่อประเมินสถานการณ์ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ยังคงเดินหน้าสร้างความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการค้าและเทคโนโลยีค่ะ
โดยในประเด็น "สงครามการค้ากับจีน" ล่าสุดทรัมป์ยังคงยืนยันจุดยืนแข็งกร้าวว่าจะ "ไม่ลดภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน" ที่ปัจจุบันเรียกเก็บในอัตราสูงถึง 145% เพื่อใช้เป็นเงื่อนไขในการเริ่มต้นเจรจาการค้าอย่างจริงจังกับจีน แม้ว่าจะมีกำหนดการพูดคุยระหว่างนายสก็อต เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ และนายเจมีสัน เกรียร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ กับนายเหอ ลี่เฟิง รองนายกรัฐมนตรีจีน ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในสัปดาห์นี้ก็ตาม
ทรัมป์ยังปฏิเสธด้วยว่าสหรัฐฯ ไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มต้นขอเจรจาก่อน และอ้างว่าปัจจุบันสหรัฐฯ "ไม่ได้ขาดทุนอะไรแล้ว" จากการค้ากับจีน
ขณะที่ด้านนายเบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ยอมรับว่าอัตราภาษีในปัจจุบันนั้น "ไม่ยั่งยืน" และการเจรจาจะมุ่งเน้นไปที่ "การลดความตึงเครียด" (De-escalation) มากกว่าที่จะเป็นข้อตกลงการค้าขนาดใหญ่ โดยเน้นย้ำว่าสหรัฐฯ ต้องการ "การค้าที่เป็นธรรม" (Fair trade)
ส่วนในแวดวงเทคโนโลยี ก็มีข่าวใหญ่ที่สร้างความฮือฮาไม่แพ้กัน เมื่อมีรายงานว่ารัฐบาลทรัมป์มีแผนที่จะ "ยกเลิก" กฎเกณฑ์ควบคุมการส่งออกชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI chip curbs) ที่เคยออกมาในสมัยรัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน หรือที่รู้จักกันในชื่อ "AI diffusion rule" ซึ่งเป็นกฎที่มีความซับซ้อนและมีกำหนดจะเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 15 พฤษภาคมนี้
แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาลทรัมป์จะไม่นำมาบังคับใช้แล้ว และกำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนากฎเกณฑ์ใหม่ที่ "ง่ายกว่า" โดยมีเป้าหมายเพื่อ "ปลดปล่อยนวัตกรรมของอเมริกา และทำให้มั่นใจว่า AI ของอเมริกาจะครองความเป็นเจ้า" (Ensures American AI dominance)
ข่าวนี้ส่งผลให้หุ้นของกลุ่มผู้ผลิตชิป โดยเฉพาะ Nvidia ซึ่งเคยคัดค้านกฎดังกล่าว ปรับตัวสูงขึ้นถึง 3.1%และดัชนีหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ (Philadelphia Stock Exchange Semiconductor Index) ก็ปรับตัวสูงขึ้น 1.7% ทันทีหลังมีข่าว
การเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งนี้อาจเป็นการผ่อนปรนชั่วคราวให้กับประเทศอย่างอินเดียและมาเลเซีย (ซึ่งบริษัท Oracle มีแผนจะขยายศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ที่นั่น) และอาจเปิดโอกาสให้ประเทศที่เคยถูกจำกัดก่อนหน้านี้เช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) และซาอุดีอาระเบีย ได้เจรจาเงื่อนไขที่ดีขึ้น โดยทรัมป์มีกำหนดการเดินทางเยือนตะวันออกกลางระหว่างวันที่ 13-16 พฤษภาคมนี้
และแน่นอนว่า ความสัมพันธ์ระหว่างทรัมป์กับเฟด โดยเฉพาะกับนายเจอโรม พาวเวล ก็ยังคงเป็นประเด็นที่ถูกจับตามอง ทรัมป์ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์เฟดอยู่บ่อยครั้งว่าควรจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงได้แล้ว ถึงขั้นเคยแสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรงผ่านโซเชียลมีเดีย
โลกเทคโนโลยีระอุไม่หยุด "Apple" กับความทะเยอทะยานด้าน AI ใน Safari
นอกเหนือจากประเด็นเรื่องนโยบายชิปแล้ว วงการเทคโนโลยียังมีข่าวคราวที่น่าสนใจ โดยเฉพาะจากค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง Apple ที่มีรายงานว่ากำลัง "พิจารณาอย่างจริงจัง" ที่จะปรับปรุงเบราว์เซอร์ Safari ครั้งใหญ่ โดยจะมุ่งเน้นไปที่การนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาขับเคลื่อนระบบค้นหา (Search Engines) มากขึ้น
การเคลื่อนไหวครั้งนี้จุดประกายให้เกิดการคาดการณ์ว่าอาจส่งผลกระทบต่อข้อตกลงมูลค่ามหาศาลที่ Apple ทำไว้กับ Google ในการเป็น search engine เริ่มต้นบน Safari ซึ่งอาจจะใกล้สิ้นสุดลง หรืออาจเป็นการปรับตัวครั้งสำคัญของ Apple ให้เข้ากับยุคสมัยของ AI ที่กำลังมาแรง
แม้ว่าในรายงานข่าวจะยังไม่ได้ระบุชัดเจนว่า Apple จะหันไปจับมือกับผู้ให้บริการ AI Search Engine รายใดแทน Google แต่ข่าวนี้ก็ส่งผลให้หุ้นของ Alphabet Inc. (บริษัทแม่ของ Google) ร่วงลงอย่างหนักถึง 7.5% ในการซื้อขายเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม (ส่วนข่าวลือคือ เล็งๆ ไปที่ Perplexity)
นอกจากนี้ ยังมีข่าวความเคลื่อนไหวจากบริษัทเทคโนโลยีและบริษัทอื่นๆ ที่น่าสนใจ เช่น Arm Holdings ผู้ออกแบบชิปชื่อดัง ที่คาดการณ์ยอดขายในปัจจุบันไม่ค่อยสดใสเท่าที่ควร ขณะที่ Carvana แพลตฟอร์มขายรถยนต์มือสองในสหรัฐฯ กลับมีผลประกอบการกำไรเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากผู้บริโภคเร่งซื้อรถยนต์ทั้งใหม่และมือสองเพื่อหลีกเลี่ยงต้นทุนที่อาจสูงขึ้นจากผลกระทบของนโยบายภาษี
ส่วน CrowdStrike Holdings บริษัทด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ประกาศลดจำนวนพนักงานลงประมาณ 500 ตำแหน่ง หรือราว 5% ของพนักงานทั่วโลก และ Uber Technologies ก็รายงานตัวเลขการจองรวม (Gross bookings) ที่ต่ำกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าสหรัฐฯ ลดลง
ตลาดหุ้นยิ้มรับข่าวดี
ในส่วนของ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดัชนีสำคัญต่างปรับตัวสูงขึ้น โดยดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 0.4%, ดัชนี Nasdaq100 เพิ่มขึ้น 0.4% และดัชนี Dow Jones Industrial Average เพิ่มขึ้น 0.7% โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หุ้นในกลุ่มผู้ผลิตชิปที่ปรับตัวสูงขึ้นถึง 1.7% ขณะที่หุ้นเด่นอย่าง Walt Disney ก็พุ่งขึ้นแรงถึง 11% จากแนวโน้มผลประกอบการที่ดี
ทางด้าน ตลาดพันธบัตร อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ปรับตัวลดลง 3 Basis Points มาอยู่ที่ระดับ 4.27% ส่วนใน ตลาดสกุลเงิน ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น โดยดัชนี Bloomberg Dollar Spot Index เพิ่มขึ้น 0.5%
สำหรับ ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ราคาน้ำมันดิบ West Texas Intermediate (WTI) ปรับตัวลดลง 1.7% มาอยู่ที่ $58.09 ต่อบาร์เรล ส่วนราคาทองคำ Spot Gold ลดลง 1.8% มาอยู่ที่ $3,371.35 ต่อออนซ์
ปิดท้ายด้วย ตลาดคริปโตเคอร์เรนซี ที่ยังคงคึกคัก โดย Bitcoin (BTC) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.6% มาอยู่ที่ $96,184.15 และ Ether (ETH) เพิ่มขึ้น 1.2% มาอยู่ที่ $1,796.47 ค่ะ
สรุปและความเห็นส่วนตัว
เฟดไม่ได้รีบแต่ก็ไม่ได้ hawkish มากจนเกินไป ทำให้ตลาดรับข่าวในเชิงบวกค่ะ แถมพาวเวลล์ยังมีแย็บๆ ว่าเงินเฟ้อจากภาษีอาจเป็นแค่ชั่วคราวก็ได้อีกด้วย ส่วนเศรษฐกิจสหรัฐฯ เองก็ยังแข็งแกร่ง เหมือนที่แอดบอกไปสัปดาห์ก่อนค่ะ
ในเรื่องของทรัมป์ ไม่ต้องไปสนใจมันเยอะก็ได้ค่ะ พูดไปเรื่อย ให้เราจับตาไปที่ Bessent ดีกว่าค่ะ น่าจะคุยอะไรกันได้บ้าง แถมแกพูดมา 1 ประโยคด้วยว่า เป้าหมายกับจีนคือ de-escalation นะ ไม่ใช่ decouple
ทั้งหมดนี้ก็น่าจะหมดเรื่องใหญ่ประจำสัปดาห์นี้ไปได้ค่ะ เราแค่ไปรอฟังผลว่าจะมีดีลกับประเทศไหนไหมในสัปดาห์นี้ เพราะทรัมป์โม้เอาไว้แล้ว และดูข่าวการเจรจากับยุโรปที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์นี้ ส่วนจีนเค้าจะคุยกันช่วงสุดสัปดาห์นะคะ ก็ไม่ต้องรอก็ได้ค่ะ
ขอบคุณเนื้อหาข้อมูลจาก.. Facebook Beauty Investor