ห้องเม่าปีกเหล็ก

เปิดรายชื่อ 6 หุ้น ที่ควรเลี่ยงลงทุน

โดย dave
เผยแพร่ :
140 views

เปิดรายชื่อ 6 หุ้น ที่ควรเลี่ยงลงทุน

หลังนักวิเคราะห์สั่งให้ “ขาย”

.

เป็นเรื่องปกติของตลาดหุ้นที่นักลงทุนจะต้องซื้อจะต้องขายหุ้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เช่นเดียวกับข้อมูลที่ได้ระบุไว้ในบทวิเคราะห์ของเหล่านักวิเคราะห์ที่ก็จะมีทั้งการแนะนำ “ซื้อ” และ แนะนำ “ขาย” ด้วยเช่นเดียวกัน

.

โดยในครั้งนี้ Wealthy Thai จึงได้รวบรวมข้อมูลกลุ่มหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำในฝั่ง “ขาย” มาเป็นตัวช่วยให้กับนักลงทุนในการพิจารณาวิเคราะห์แนวทางการลงทุน ซึ่งจะมีหุ้นในกลุ่มไหนบ้าง และเหตุผลอะไรที่ทำให้นักวิเคราะห์แนะนำ “ขาย”

.

SABINA เต็มมูลค่าแล้ว

มาเริ่มกันที่ SABINA นักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) มีความเห็นว่า ปัจจุบันได้ปรับลดคำแนะนำเป็น “ขาย” ให้ราคาเป้าหมายใหม่ปีฐาน 66 ที่ 24 บาท (จาก 31 บาท) เนื่องจากเชื่อว่าบริษัทกำลังจะเข้าสู่รอบเติบโตที่ชะลอตัวลงตั้งแต่ปี 67 และมองว่าการซื้อขาย P/E66 ที่ 19.9 เท่า PE นั้นมูลค่าเต็มแล้ว

.

อีกทั้งยังเห็นถึงความเสี่ยงจากการปรับขึ้นอัตราค่าแรง โดยสมมติให้มีการปรับขึ้นค่าแรง 10% ต่อปีในสองปีข้างหน้า ซึ่งความเป็นไปได้ที่จะมีการปรับขึ้นอัตราค่าแรงขั้นต่ำนั้นเป็นสิ่งที่ตลาดกังวล เนื่องจาก ค่าใช้จ่ายพนักงานของ SABINA คิดเป็น 20% ของต้นทุนทั้งหมด (ต้นทุนขาย และค่าใช้จ่าย SG&A)

.

โดยการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะส่งผลกระทบในทางลบต่อกำไรของ SABINA จากการวิเคราะห์การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำทุก 10% จะกระทบต่อกำไรของ SABINA 6-7% ซึ่งได้รวมความเป็นไปได้ในการขึ้นอัตราค่าแรงขั้นต่ำ 10% ต่อปี ในการประมาณการในปี 67-68 แล้ว

.

โบรกฯ ผิดหวัง KEX

ถัดมา KEX นักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) มีความเห็นว่า ปริมาณพัสดุของ KEX ยังคงทำให้ผิดหวังต่อเนื่อง โดยไตรมาส 2/66 ลดลง 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งปัจจุบันคาดว่าจะมีผลขาดทุนมากขึ้นในปี 66-67 และกลับมามีกำไรในปี 68 แต่มีเพียง 17% ของระดับสูงสุดของปี 63 คงคำแนะนำ “ขาย” ปรับราคาเป้าหมายลงเหลือ 9 บาท

.

ทั้งนี้ในไตรมาส 2/66 คาดว่า KEX จะยังคงมีผลขาดทุนอย่างมากในระดับใกล้เคียงกับการขาดทุนในไตรมาส 2/65 ที่ 732 ล้านบาท และไตรมาสแรกปีนี้ 787 ล้านบาท แม้ต้นทุนเชื้อเพลิงจะลดลง แต่ปริมาณจัดส่งก็ลดลงด้วย สำหรับระบบอัตโนมัติใหม่ที่จะช่วยให้ประสิทธิภาพในการดำเนินงานดีขึ้นและช่วยลดต้นทุน KEX ยังคงตั้งเป้าว่าเครื่องจักรชุดแรกและระบบจะถูกติดตั้งและเริ่มดำเนินงานได้ในต้นไตรมาส 3/66

.

AAI อาหารสัตว์เลี้ยงไม่สดใส

ตามด้วย AAI สำนักวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เปลี่ยนคำแนะนำเป็น “ขาย” จาก “ถือ” แนวโน้มผลประกอบการ AAI ปีนี้ไม่สดใสจากการลดสต๊อกสินค้าของลูกค้า OEM และภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัวจากภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น

.

ในขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบปลาทูน่าที่ยังเพิ่มขึ้นอยู่ระดับสูง 1.คาดกำไรสุทธิไตรมาส 2/66 ยังลดลงทั้งช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสแรก โดยต่ำกว่าที่คาดไว้เดิมที่จะเพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรก เนื่องจากรายได้และอัตรามาร์จิ้นที่ลดลง 2. ภาพรวมอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงสุนัขและแมวปีนี้ไม่สดใสจากปัญหาเศรษฐกิจทั่วโลกที่ชะลอตัว

.

ดังนั้นจึงปรับประมาณการลง มูลค่าเหมาะสมใหม่อยู่ที่ 3.24 บาท โดยมองผลประกอบการปีนี้ยังไม่สดใสจากปัจจัยลบที่กดดันรายได้ลดลงและต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และคาด Dividend Yield ปี 66 ที่ 2.0%

.

DOHOME กำไรฟื้นช้ากว่าคาด

มาต่อกันที่ DOHOME นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ปรับลดคำแนะนำเป็น “ขาย” จาก “ถือ” และปรับลดราคาเป้าหมายเป็น 11.00 บาทจากเดิม 14.00 บาท แนวโน้มกำไรที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาดมาก โดยคาดเห็นแรงกดดันต่อผลการดำเนินงานไตรมาส 2/66 หดตัวช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสแรก

.

ทั้งนี้เนื่องจาก demand ทั้งฝั่งกำลังซื้อลูกค้า end-user และลูกค้างานโครงการทั้งงานภาครัฐและเอกชนยังไม่ฟื้นตัว จากการชะลอการลงทุน ขณะรอความชัดเจนของการจัดตั้งรัฐบาล คาดไตรมาส 2/66 SSSG ติดลบที่ราว 7-8%

.

รวมทั้ง GPM หดตัว ทั้งช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสแรก จากการที่บริษัทมีการเร่งระบายสินค้ากลุ่มสังกะสีและสินค้า obsolete อื่นๆ ที่มีการสต๊อกไว้ในต้นทุนที่สูง เพื่อปรับตัวให้ทันต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป

.

อีกทั้ง product mix ในไตรมาส 2/66 เป็นสินค้ากลุ่มเหล็กและกลุ่มสินค้าก่อสร้างที่มี GPM ต่ำ ปัจจุบันคาดที่ระดับ 14% และ เลื่อนการรับรู้เงินคืนจากประกันกรณีความเสียหายจากน้ำท่วมไปไตรมาส 3/66 เนื่องจากอยู่ระหว่างการต่อรองจำนวนเงินคืนประกัน

.
KCE ยอดขายอ่อนตัว

KCE สำนักวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด คงคำแนะนำ “ขาย’’ ด้วยมูลค่าที่เหมาะสม 34.5 บาท โดยคาดว่าผลประกอบการในไตรมาส 2/66 จะอยู่ที่ 305 ล้านบาท เนื่องจากยอดขายที่อ่อนตัว ทำให้ระดับสินค้าคงคลังอยู่ในระดับที่สูง ผู้ผลิต Tier 1 จึงชะลอการเบิกเข้าของสินค้า ทั้งนี้ ยังคงไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวอื่นๆ เช่น ข้อมูลการส่งออกของแผ่นวงจรพิมพ์ และอัตราการผลิตแผ่นวงจรพิมพ์ตั้งแต่เดือนเมษายน แม้ว่าราคาหุ้นจะปรับฐานเมื่อเร็วๆ นี้

.

แต่ยังคงแนะนำ “ขาย’’ เนื่องจาก 1.การแก้ไขสินค้าคงคลังอย่างต่อเนื่อง และ 2.การฟื้นตัวของ GPM ที่ใช้เวลานานกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ อีกทั้งปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาคที่ไม่เอื้ออำนวยมีผลมากกว่าความพร้อมในตลาดของ Semiconductor ที่เพิ่มขึ้น

.

แม้คาดว่า semiconductor อุตสาหกรรมทั่วโลกจะถึงจุดต่ำสุดในไตรมาส 3/66 แต่เชื่อว่าอุปสงค์ที่อ่อนแอน่าจะยังคงอยู่ต่อไปอีกเล็กน้อยสำหรับรถยนต์ เนื่องจากการปรับฐานเริ่มช้ากว่าภาคผู้บริโภคประมาณ 6-9 เดือน ตัวกระตุ้นที่เป็นไปได้สำหรับราคาหุ้นคือ การชี้แจงแผนการขยายธุรกิจที่ Rojna ใบสั่งขายที่เพิ่มขึ้นจากการ guidance ของผู้บริหาร และยอดขายที่กลับมาสูงกว่า 125 ล้านดอลลาร์/ไตรมาส

.

DELTA ผลงานไตรมาส 2 ทรงตัว

DELTA นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คงคาแนะนำ “ขาย” คงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 ที่ 52.50 บาท โดยผลประกอบการไตรมาส 2/66 คาดทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ทั้งปี 2566 คาดโต 9% จากปีก่อน เทียบกับราคาหุ้นที่ซื้อขายบน PER66 ถึง 76 เท่า

.

ทั้งนี้หากกำไรออกมาตามคาด กำไรปกติครึ่งแรกปี 66 จะคิดเป็น 47% ของประมาณการทั้งปี 2566 ที่ 1.58 หมื่นล้านบาท เติบโต 8.6% จากปีก่อน คงมุมมองครึ่งหลังปี 66 กำไรของ DELTA จะฟื้นตัวจากครึ่งปีแรก หลักๆ จากการเข้าสู่ High Season ในไตรมาส 3/66 และแรงกดดันจากากรตั้งสำรองสินค้าคงคลังลดลงในรายธุรกิจ

.

รวมทั้งประเมินว่าสินค้ากลุ่ม EV Car จะกลับมาเติบโตดีขึ้นหลังแนวโน้มเศรษฐกิจโลกอาจไม่ชะลอตัวแรงอย่างที่ลูกค้ากังวลก่อนหน้า ส่วนสินค้า Data Center ยังมีความต้องการที่แข็งแกร่ง แต่เริ่มเจอฐานที่สูงทำให้การเติบโตจะเริ่มจำกัดมากขึ้น

 

 

 


dave