สนพ.รื้อโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ หน้าโรงกลั่นใหม่ สั่งสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ศึกษาเชิงลึกถึงสูตรราคาอ้างอิงที่ใช้ปัจจุบันยังเหมาะสมหรือไม่ หลังหลายปัจจัยเปลี่ยนแปลงไป ด้านโรงกลั่นน้ำมันค้านสุดตัว ชี้รัฐต้องปล่อยตลาดน้ำมันให้แข่งขันเสรี จากปัจจุบันที่ถูกควบคุมราคาปลายทางผ่านกลไก ค่าการตลาด กลาย ๆ อยู่แล้ว
นายทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า หลังจากที่กระทรวงพลังงานได้ปรับโครงสร้างราคาน้ำมันแต่ละประเภท ให้มีความเหมาะสมไปก่อนหน้านี้แล้วนั้น ล่าสุด สนพ.กำลังอยู่ในระหว่างศึกษา "โครงสร้างราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่น" ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันว่า "มีความเหมาะสมหรือไม่" เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่กำหนดอยู่ในสูตรราคาน้ำมัน ณ หน้าโรงกลั่นมีการเปลี่ยนแปลง คือ
1) สูตรราคาคำนวณภายใต้น้ำมันมาตรฐานยูโร 3 ในขณะที่ทุกโรงกลั่นพัฒนาโรงกลั่นน้ำมันเป็นมาตรฐานยูโร 4 ทั้งหมดแล้ว
2) เดิมการกำหนดราคาน้ำมันจะคำนวณราคาตลาดโลกย้อนหลัง 3 วัน แต่ในอนาคตหากปล่อยการค้าเสรีอย่างแท้จริงอาจต้องใช้ราคาน้ำมันตลาดโลกอ้างอิงแบบวันต่อวัน และ 3) การซื้อขายน้ำมันจากตลาดมีทั้งการซื้อขายในตลาดจร (Spot) กับการซื้อขายแบบสัญญาระยะยาว (Long Term) ซึ่งทั้ง 2 แบบมีราคาแตกต่างกัน
"เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สนพ.ยังได้เชิญผู้ที่เกี่ยวข้อง คือ กรมธุรกิจพลังงาน ผู้ประกอบการในธุรกิจการกลั่น นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน มาระดมความคิดเห็นถึงโครงสร้างราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นด้วย และ สนพ.จะนำความเห็นเหล่านี้มาประกอบการพิจารณาโครงสร้างราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นที่เหมาะสมต่อไป" นายทวารัฐกล่าว
ทั้งนี้ สนพ.ได้ให้สถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (PTIT) เป็นผู้ศึกษาโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ หน้าโรงกลั่นน้ำมันในเชิงลึก คาดว่าผลการศึกษาจะแล้วเสร็จในเร็ว ๆ นี้
หลังจากนั้น สนพ.จะพิจารณาต่อไปว่าควรปรับโครงสร้างราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นหรือไม่ และถ้าปรับจะต้องปรับอย่างไรเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันมากที่สุด โดยโครงสร้างราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นหลัก ๆ ประกอบด้วย 1) ราคาน้ำมันดิบ 2) ค่าปรับปรุงคุณภาพน้ำมัน 3) ค่าการตลาด และ 4) ภาษีที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
"สูตรราคาเพื่อใช้อ้างอิงราคาหน้าโรงกลั่นที่ใช้ปัจจุบัน สนพ.ทำไว้มาตั้งแต่ปี 2554 ซึ่งโดยปกติจะมีการอัพเดตทุก ๆ 5 ปีอยู่แล้ว ส่วนหนึ่งที่ สนพ.ต้องกำหนดสูตรราคาเพื่อให้ใช้อ้างอิงนั้น เพื่อใช้สำหรับติดตามว่า ค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันยังอยู่ในระดับที่เหมาะสมหรือไม่ อย่างไรก็ตาม การซื้อขายน้ำมันในปัจจุบันส่วนใหญ่ก็เป็นราคาที่ตกลงกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย" นายทวารัฐกล่าว
ด้านแหล่งข่าวจากผู้ประกอบการโรงกลั่นน้ำมันในประเทศกล่าวว่า โรงกลั่นน้ำมัน "ไม่เห็นด้วย" กับการที่ สนพ.จะมีการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นใหม่ เท่ากับว่า สนพ.กำลังพยายามเข้ามา "ควบคุม" ราคาน้ำมันตั้งแต่ต้นทาง ทั้งที่ปลายทางก็เสมือนมีการควบคุม "ค่าการตลาด (Marketing Margin)" อยู่ส่วนหนึ่งแล้ว ที่สำคัญในช่วงที่ผ่านมาภาครัฐมีนโยบายให้ตลาดพลังงานของประเทศแข่งขันอย่างเสรีมากขึ้น เช่น การลอยตัวราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) จากที่ต้องใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯที่เก็บจากผู้ใช้น้ำมันเบนซินมาชดเชยราคาก๊าซ LPG แต่ปัจจุบันไม่มีการชดเชยแล้ว เมื่อการใช้พลังงานแต่ละประเภทเข้าสู่จุดสมดุลมากขึ้น
ความต้องการใช้ก๊าซ LPG ลดลง และเร็ว ๆ นี้อาจไม่ต้องนำเข้าก๊าซ LPG จากต่างประเทศ สุดท้ายธุรกิจก๊าซ LPG ก็มีผู้ประกอบการรายอื่นเข้ามาแข่งขันมากขึ้น
สำหรับธุรกิจการกลั่นน้ำมันใช้เงินลงทุนค่อนข้างสูง ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนไทยหรือต่างชาติ เมื่อเข้ามาทำธุรกิจแล้วต่างก็ต้องการกำไรในระดับที่เหมาสม เมื่อมีผลประกอบการที่ดี ผู้ประกอบการก็จะตัดสินใจขยายการลงทุน เกิดการจ้างงาน สุดท้ายประเทศก็ได้ประโยชน์ แต่ในมุมกลับกัน หากภาครัฐเข้ามาแทรกแซงราคาจะกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ
"ทุกวันนี้โรงกลั่นก็ใช้ราคาน้ำมันสิงคโปร์เป็นราคาอ้างอิง การกำหนดราคาให้สูงเกินจริงก็ทำไม่ได้ เพราะสุดท้ายมันจะแข่งขันกันที่ราคาขายปลีก ต้นทุนการผลิตแต่ละโรงกลั่นก็ไม่เท่ากัน และยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีก เช่น อายุและเทคโนโลยีของโรงกลั่นน้ำมัน หากรัฐมีนโยบายการค้าเสรีก็ไม่ควรเข้ามาควบคุมราคาหน้าโรงกลั่น" แหล่งข่าวให้ความเห็น
มีรายงานข่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2559 นั้น บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด ได้รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า โรงกลั่นน้ำมันเอสโซ่เดินเครื่องเต็มที่ 174,000 บาร์เรล/วัน มีค่าการกลั่นอยู่ที่ 2 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ถือว่า "ติดลบ" เมื่อเปรียบเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ในขณะที่บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) โรงกลั่นเดินเครื่องอยู่ที่ 116,000 บาร์เรล/วัน หรือคิดเป็นร้อยละ 96 ค่าการกลั่นพื้นฐานอยู่ที่ 5.62 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งถือว่า "อ่อนตัวลงเล็กน้อย" เนื่องจากส่วนต่างราคาน้ำมันเบนซินลดลงเมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมถึงต้นทุนราคาน้ำมันดิบในไตรมาสนี้สูงขึ้น
เครดิต : ประชาชาติธุรกิจ