หุ้นเด่นวันนี้ ! 5 โบรกสแกน 14 หุ้นหลบภัย เน้น Selective Buy ช่วงตลาดพักตัว TNN Wealth
หุ้นน่าซื้อวันนี้ 7 เม.ย. 65 โบรกมองหุ้นไทยวันนี้ผันผวนเชิงลบต่อปัจจัยต่างประเทศ หลังรายงานผลการประชุม Fed เตรียมลดงบดุล 9.5 หมื่นล้านดอลลาร์ที่จะครบกำหนดทุกเดือน คาดกรอบเคลื่อนไหว 1,680-1,700 จุด เน้น Selective Buy เก็งกำไรอย่างระมัดระวัง
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า การเคลื่อนไหวของตลาดทุนทั่วโลกเมื่อวานนี้เอนไปในทิศทางลบ หลังการรายงานผลการประชุม Fed กล่าวถึงประเด็นแผนการลดงบดุลธนาคารกลางสหรัฐฯ โดยมีการหารือถึงการลดการถือครองสินทรัพย์ไม่เกิน 9.5 หมื่นล้านดอลลาร์ที่จะครบกำหนดทุกเดือน แบ่งเป็น 6.0 หมื่นล้านดอลลาร์สำหรับตั๋วเงินคลัง และ 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์ในตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกัน (MBS)
ซึ่งคาดจะเริ่มมาตรการในการประชุม FOMC ครั้งถัดไป 4 พ.ค. สร้างความกังวลด้านสภาพคล่องและผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ มุมมองด้านการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ในปี 2565 ของตลาดยังคงเดิมที่ระดับ 2.25-2.50% โดยคาดปรับเพิ่มขึ้น 0.50% ในเดือน พ.ค.
ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ปรับตัวลดลง 5.6% สู่ระดับ US$96/bbl ต่ำที่สุดตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมี.ค. จากการรายงานตัวเลขน้ำมันดิบคงคลังที่มากกว่าตลาดคาด ขณะที่ IEA กล่าวจะเพิ่มอุปทานจากคลังสำรองฉุกเฉินจำนวน 60 ล้านบาร์เรล
อย่างรไก็ตาม เราประเมิน SET INDEX วันนี้มีแนวโน้มตอบรับเชิงลบต่อปัจจัยต่างประเทศ โดยคาดกรอบการเคลื่อนไหวบริเวณ 1,680-1,700 จุด ในระยะสั้นเรามองว่าบรรยากาศการลงทุนยังคงมีความผันผวนจากวันหยุดยาวในสัปดาห์หน้า สำหรับนักลงทุนระยะกลาง-ยาว อาจใช้ตราสารอนุพันธุ์เพื่อลดความเสี่ยงและความผันผวน (Hedging derivatives)
ขณะที่กลยุทธ์การซื้อขายรายวันแนะนำ Trading หุ้นในกลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง (Anti-commodity) หากราคาย่อตัวในช่วงแรกของการซื้อ-ขาย
ส่วนปัจจัยระดับมหภาคที่ควรติดตามในสัปดาห์หน้าคือ (1) การรายงานตัวเลขเงินเฟ้อ (CPI) ของสหรัฐฯ ในวันที่ 12 เม.ย. และ (2) การประชุม ECB ในวันที่ 14 เม.ย.
หุ้นเด่นวันนี้ แนะนำ 4 ตัว นำโดย KKP เราคาดกำไรสุทธิ 1Q65 ที่ 1.85 พันลบ. เพิ่มขึ้น +27% YoY เติบโต YoY สูงที่สุดในกลุ่มธนาคาร จากพอร์ตสินเชื่อที่ขยายตัวได้ดีกว่าอุตสาหกรรม และการตั้งสำรองมีแนวโน้มลดลง YoY
ขึ้น XD เงินปันผล 2H64 วันที่ 28 เม.ย.หุ้นละ 2.20 บาท ให้ Dividend Yield 3.2% ราคาปัจจุบันซื้อขายที่ PBV ระดับ 1.1 เท่า ต่ำกว่า TISCO ที่ 1.9 เท่า และให้ Dividend Yield ปี 2565 ระดับ 5%
หุ้นเด่นถัดมาคือ BLA เราประเมินว่าหุ้นกลุ่มประกันชีวิต ได้ Sentiment บวกจากภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น หลัง Bond Yield ทั่วโลกปรับตัวขึ้น เนื่องจากเฟดเข้าสู่การตึงตัวนโยบายการเงินทั้งการขึ้นอัตราดอกเบี้ย และเตรียมประกาศแผนลดขนาดงบดุลในการประชุมวันที่ 4 พ.ค. ส่งผลให้ Bond Yield 10 ปีของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็น 2.59% อิง Consensus ให้ราคาเป้าหมายที่ 49.50 บาท ขณะที่ภาพทางเทคนิค แนวต้าน 45.00 บาท และ Stop loss หากปรับตัวลงต่ำกว่า 42.00 บาท
หุ้นเด่นอีกตัวคือ BAM เราคาดว่าผลประกอบการปี 2565 จะฟื้นตัวได้ดี คาดกำไร +15% YoY เป็น 2.97 พันลบ. หลังกรมบังคับคดีกลับมาเปิดดำเนินงานได้ตามปกติ เทียบกับปี 2564 ที่ปิดให้บริการเป็นระยะจากสถานการณ์ COVID
แนวโน้มกำไร 1Q65 คาดเติบโต YoY ขณะที่ Valuation น่าสนใจที่ระดับ PBV ราว 1.7 เท่า เทียบกับกลุ่มบริหารจัดการหนี้ เช่น JMT, CHAYO ที่ 11.1 เท่า และ 5.3 เท่า รวมทั้งมีเงินปันผลรออยู่ ขึ้น XD หุ้นละ 0.55 บาท วันที่ 29 เม.ย.ให้ Yield 2.7%
หุ้นเด่นสุดท้าย NYT ภาพทางเทคนิค แนวต้าน 4.96 บาท แนวรับ 4.74 บาท และ Stop loss หากต่ำกว่า 4.64 บาทเป็น 1 ในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการผลัดใบเข้าสู่ EV Car ส่งผลบวกในระยะยาว ขณะที่ระยะสั้น คาดได้แรงหนุนจากการนำเข้ารถยนต์ EV Car เพื่อใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีของภาครัฐฯภายใต้มาตรการกระตุ้น EV Car
บล.เอเซียพลัส สถานการณ์เงินเฟ้อทั่วโลกสร้างความกังวลมากขึ้น และเป็นแรงกดดันให้ ธนาคารกลาง ใช้นโยบายการเงินตึงตัวในอัตราเร่งมากขึ้น โดยในส่วนของ Fed มีกระแสหนุนให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่เร็วขึ้น และให้เริ่มกระบวนการ ปรับลดขนาดงบดุล ซึ่งแนวคิดดังกล่าวจะสร้างแรงกดดันให้กับราคาสินทรัพย์ ทางการเงินที่ถูกพยุงให้อยู่ระดับสูงด้วยสภาพคล่องส่วนเกิน
ส่วนในบ้านเรา เงินเฟ้อก็อยู่ในภาวะที่น่ากังวลมากขึ้น โดยตัวเลขเดือน มี.ค.65 ปรับขึ้นมาอยู่ ที่ 5.73% และทำให้มีการปรับเพิ่มประมาณการเงินเฟ้อปี 2565 ขึ้นมาอยู่ที่ 4.5% จากเดิม 1.5% สถานะดังกล่าวทำให้ส่วนต่างระหว่างเงินเฟ้อกับอัตรา ดอกเบี้ยเงินฝากมากเกินไป อาจเห็นการทบทวนมาตรการทางการเงิน คาด SET Index จะถูกกดดันจากสถานการณ์เงินเฟ้อ ทำให้ยังไม่ผ่าน 1,705 จุดขึ้นไปได้ ส่วนแนวรับที่ 1,685 จุด พอร์ตจำลองให้ขาย KCE รับกำไร เกือบ 16% และให้ถือเป็นเงินสดแทน Top Pick
หุ้นเด่นวันนี้มี 3 ตัวนำโดย GPSC ([email protected]) กกพ.มีมติให้ปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) โดยเรียกเก็บค่าไฟฟ้าในรอบเดือน พ.ค.- ส.ค. 65 เพิ่มขึ้น 23.38สตางค์ จากปัจจุบัน 1.39 สตางค์ มาอยู่ที่ 24.77 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.00 บาทต่อหน่วย หรือเพิ่มขึ้น 5.82% จากงวดปัจจุบัน ถือเป็นsentiment เชิงบวกโดยรวมต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP อย่างGPSC
สถานการณ์สงครามเริ่มคลี่คลาย ส่งผลให้ราคาพลังงานปรับตัวลดลง คาดเป็นบวกต่อกลุ่มโรงไฟฟ้าเลือก GPSC ซึ่งคาดจะเห็น margin ที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น
ในช่วง 2H64 ขณะที่ภาพระยะยาวยังเห็นการเติบโตจากโครงการใหม่ๆที่เตรียม cod ตั้งแต่ปี 66 เป็นต้นไปราคาหุ้นปรับฐานมาแล้วระดับหนึ่งจนเริ่มเห็น valuation ที่น่าสนใจ แนะนำทยอยซื้อสะสมลงทุนระยะยาว
หุ้นเด่นตัวต่อมาคือ KBANK (FV@174) ภาพรวมเป้าหมายทางการเงินปี 2565 ส่วนใหญ่สอดคล้องกับสมมติฐานเดิมฝ่ายวิจัย ยกเว้นรายได้ค่าธรรมเนียมฯ ต่ำกว่าที่มอง และ Credit Cost ดีกว่าคาด ลดลงจากปีก่อน เป็นไปตามแนวโน้มเศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัว ทั้งจากการกระจายวัคซีน COVID-19 และ
การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว
โดยรวมทำให้กำไรสุทธิปี2565 - 66 สูงขึ้นจากเดิมเฉลี่ย 12%อิง PBV ให้ FV ที่ 174 บาท คงแนะนำ ซื้อ แนวโน้มกำไรปี2565 เติบโตดีกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มฯ (+8% YOY เนื่องจากเป็น ธ.พ. ที่ได้รับประโยชน์มากสุดในกลุ่มฯ หลังเศรษฐกิจฟื้นตัวย่อมบวกต่อคุณภาพสินทรัพย์ ทั้งลูกหนี้กลุ่มSME และกลุ่มที่อิงกับภาคท่องเที่ยว
หุ้นเด่นตัวสุดท้ายคือ M (FV@63) คาดกำไร 1Q65 ทรงตัว Q0Q เหตุเพราะช่วง ธ.ค. เป็นฤดูกาลเฉลิมฉลองจึงมีฐานสูง แต่คาดการณ์เติบโตสูงYOY จากฐานกำไร 88 ล้านบาทในงวด 1Q64 และต่อเนื่องถึง 2Q65 หนุนด้วยเทศกาลสงกรานต์ (TurnAround จากขาดทุน 99 ล้านบาทในงวด 2Q64ส่วนทั้งปีประเมินกำไร 1.7 พันล้านบาท สัดส่วน 67% ของกำไรปี2562 อานิสงค์จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจเดินเครื่องอีกครั้ง
ราคาหุ้น Laggard หุ้นกลุ่ม Reopening อย่างโรงแรมกอปรกับราคาบริเวณนี้อยู่ใกล้ IPO ที่ 49 บาท จึงเชื่อว่าDownside ไม่มาก นอกจากนี้สถานะการเงินเป็น NetCash ราว 7.7 พันล้านบาทและมีกำไรสะสม คาดทำให้ M สามารถรักษาการจ่ายเงินปันผลได้ต่อเนื่อง
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการอาวุโส บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า วันนี้คาด SET ย่อตัว ในกรอบแนวรับ1,690 จุด และแนวต้าน 1,710 จุดเน้นหุ้นที่แนวโน้มกำไรขยายตัวดี
โดย หุ้นเด่นวันนี้แนะนำ AOT รับอานิสงส์การเปิดประเทศคาดนักท่องเที่ยวต่างชาติฟื้นตัวจาก 4 แสนคนปีที่แล้วเป็น 9ล้านคนในปีนี้ จะส่งผลให้ปีนี้AOT คาดขาดทุนเพียง 3,582ล้านบาท น้อยลงจากขาดทุน15,319 ล้านบาทในปีที่แล้ว และแนวโน้มกำไรจะกลับไปฟื้นตัวเต็มที่ในปี 2567 ที่ระดับ 2.75หมื่นล้านบาท ใกล้เคียงปี 2562เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 73 บาท
หุ้นเด่นอีกตัวคือ JMART คาดกำไร 1Q65 ยืนสูง QoQ, +25-30%YoY แรงหนุนหลักจาก JMT & SINGER ส่วน KBJ-Mobile จะกลับเข้าสู่ Growth
phase หลังจากปรับโครงสร้างพร้อมเดินหน้าขยายฐานลูกค้าและอัตราทำกำไร และมีโอกาสถูกเข้าคำนวณในดัชนี SET50 รอบกลางปี หนุนราคาหุ้นระยะสั้น
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 75 บาท
บล.ไทยพาณิชย์ คาด SET จะเริ่มอ่อนตัวลง หลังมองในช่วงนี้มี Upside จำกัด มาระยะหนึ่งแล้ว โดยมีปัจจัยกดดันจากรายงานประชุมเฟดที่เผยจะเร่งขึ้นดอกเบี้ย และลดขนาดงบดุล (QT) เพื่อสกัดเงินเฟ้อ รวมถึงภาวะเศรษฐกิจที่โดนผลกระทบจากต้นทุนพลังงานที่สูง ส่งผลลบต่อทิศทาง SET แนวต้าน 1,705-1718 จุด ด้านแนวรับอยู่ที่ 1,685-1,690 จุด หากต่ำกว่า จะเป็นลบในภาพรวม
หุ้นเด่นวันนี้ BJC (ราคาเป้าหมาย 41.00 บ.) ซึ่ง 1Q65 คาดกำไรเพิ่มขึ้น YoY จากยอดขายสาขาเดิมและรายได้ค่าเช่าที่ฟื้นตัวหลังรัฐคลายล็อกดาวน์ อีกทั้งยังรับรู้ยอดขายสาขาใหม่ที่เปิดเชิงรุก ขณะที่ทั้งปี 65 คาดกำไรพลิกโต 28%YoY ดีเป็นอันดับสามในกลุ่มค้าปลีก และ GULF (ราคาเป้าหมาย 57.00 บ.) ซึ่งกำไรยังอยู่ในทิศทางขาขึ้น โดยปี 65 คาดกำไรเติบโต 44%YoY แรงหนุนจากการรับรู้กำลังผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้นและส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH
ขณะที่ บล.กสิกรไทย มองดัชนีหุ้นไทยวันนี้จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,690-1,710 จุด โดยหุ้นเด่นวันนี้แนะนำ 3 ตัวคือ PTTGC ราคาปัจจุบัน 51.50 บาท ราคาเป้าหมาย 56.50 บาท หุ้นตัวต่อมาคือ KEC ราคาปัจจุบัน 66.50 บาท ราคาเป้าหมาย 73 บาท และหุ้นเด่นตัวสุดท้ายคือ SABUY ราคาปัจจุบัน 28.75 บาท ราคาเป้าหมาย 31.75 บาท
ศึกษาการลงทุนเพิ่มเติมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คลิกที่นี่
ที่มา : บล.หยวนต้า, บล.เอเซียพลัส, บล.เมย์แบงก์กิมเอ็ง (ประเทศไทย), บล.ไทยพาณิชย์ ,บล.กสิกรไทย
ภาพประกอบข่าว : AFP, TNN Online,พิกซาเบย์