KS Daily View 16.04.2021 >>> กลยุทธ์การลงทุนทยอยซื้อไม้แรกบริเวณ 1,535 จุด แนะ JMT, DOHOME / ไม้สองรอ 1-2 สัปดาห์เพื่อพิจารณาอีกครั้ง

กลยุทธ์การลงทุนทยอยซื้อไม้แรกบริเวณ 1,535 จุด แนะ JMT, DOHOME ไม้สองรอ 1-2 สัปดาห์เพื่อพิจารณาอีกครั้ง


หากนับตั้งแต่ช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา SET ปรับตัวลงประมาณ 60จุด หรือประมาณ 4% เป็นผลจากความกังวลของยอดผู้ติดเชื้อ COVID-19 ระลอกสาม ซึ่งยอดผู้ติดเชื้อเร่งขึ้นจากระดับ 26 รายต่อวัน เป็น 1,543รายต่อวัน ซึ่งคิดเป็นการเพิ่มขึ้นเฉลี่ย CAGR(%) สูงกว่า 30% ซึ่งทำสถิติยอดผู้ติดเชื้อรายวันสูงสุดเป็นที่เรียบร้อย หากอิงจากผลกระทบของ 2nd wave พบว่า SET ปรับตัวลงประมาณ 5.5% และดีดตัวกลับลักษณะ V-shape ภายใน 10 วันทำการ (จากระดับ 1,400จุดมาถึง 1,500จุด) ซึ่งกลุ่มที่ปรับขึ้นเด่นในครั้งนี้ส่วนมากนำโดย Global play ได้รับผลกระทบจำกัด และกลุ่มการเงิน


สำหรับยอดผู้ติดเชื้อรายวันปรับขึ้นจากระดับ 30 เป็น 960+/- รายต่อวัน ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1-2เดือนก่อนกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ในขณะที่การ lockdown มีพื้นที่ควบคุมสูงสุด 28จังหวัด (สีแดง) และจังหวัดเป็นพื้นที่ควบคุม (สีส้ม) 11จังหวัด รวมประมาณ 4สัปดาห์ เมื่อเทียบกับ 3rd wave ที่ล่าสุดเตรียมเสนอต่อศบค.ชุดใหญ่ในวันนี้พิจารณาการ lockdown แบ่งเป็นจังหวัดสีแดง 18จังหวัด และ 59 จังหวัดสีส้ม จำกัดเวลาเปิด-ปิดร้านอาหาร, ผับบาร์ ปิดทั่วประเทศ งดจัดกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่ม


สำหรับผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ปัจจุบันยังมีความยากลำบากในการประเมิน อย่างไรก็ตามเราคาดว่าผลกระทบในครั้งนี้จะอยู่ระหว่าง 1st และ 2nd wave กล่าวคือผลกระทบน้อยกว่าระลอกแรก เนื่องจากคาดผลจำกัดต่อภาคอุตสาหกรรม สำหรับภาคบริการคาดว่ารุนแรงกว่า 2nd wave เนื่องจากรอบนี้ 3จังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุดอย่าง กทม. ชลบุรี และเชียงใหม่ ล้วนเป็นจังหวัดที่มีสัดส่วน GDP ต่อประเทศสูง รวมถึงการควบคุมสีแดง สีส้ม รายจังหวัดสูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด (การเร่งตัวของจังหวัดสีส้มและแดง รวดเร็วกว่าในช่วง 2nd wave ) โดย downside ของเศรษฐกิจรอบนี้จะมากขึ้นอย่างมากหากไม่สามารถควบคุมได้ใน 2เดือน ซึ่งจะเป็นช่วงที่เม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจที่เหลือ 2.5แสนล้านบาทจะหมดลง และทำให้ GDP มีโอกาสถูกปรับประมาณการลงจากระดับปัจจุบันที่ 2.6% และสำหรับประมาณการ downside ของหุ้นในกลุ่ม Domestic play อย่างธนาคาร, ค้าปลีก และ ICT เราคาดว่าผลกระทบจะต่ำกว่า 5% ในขณะที่ global play ที่มีน้ำหนักสูงสุดอย่างกลุ่มพลังงานคาดผลกระทบจำกัด โดยสรุปเราประเมินว่าหาก SET ปรับตัวลงมากกว่า 5% จากระดับก่อนเกิด COVID-19 ระลองสามที่ 1,600จุดแล้ว บริเวณ 1,500-1,535จุด เป็นกรอบในการเริ่มกลับมาทยอยสะสมอีกครั้ง

สำหรับปัจจัยต่างประเทศที่บวก ล่าสุดรายงานยอดค้าปลีกออกมาดีกว่าคาดถึง 9.8% (คาดการณ์ 5.8%) จากเดือนก่อนหน้าที่ -3.0% ในขณะที่รายงานยอดผู้ขอสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ลดลงเหลือเพียง 5.7แสนอัตรา ต่ำกว่าคาดเช่นกันที่ 7.1แสนอัตรา ซึ่งถือเป็นระดับการขอสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ที่ต่ำสุดนับตั้งแต่การระบาดระลอกแรกในสหรัฐช่วงเดือนมีนาคมปีที่ผ่านมา รวมถึงการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อเดือนที่ผ่านมาสูงขึ้นถึง 2.6% ซึ่งการที่ทยอยรายงานออกมาดีกว่าคาดในช่วง 6เดือนที่ผ่านมา ส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นโดยเฉพาะกลุ่มที่อิงปัจจัยการฟื้นตัวในประเทศอย่าง Value play แต่จากนี้เป็นต้นไปเราคาดว่าการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐ (จากทั้งฐานที่ต่ำในช่วง 2Q20 , มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเฉพาะจากเช็คเงินสดรวมถึงการเร่งฉีดวัคซีนในระดับ 3.0ล้านโดสต่อวัน ซึ่งจะทำให้เกิด Herd immunity ในช่วง 3Q21 ) จะเป็นเหมือนดาบสองคม กล่าวคือเราคาดว่าอานิสงค์บวกหรือความสัมพันธ์ระหว่างตัวเลขเศรษฐกิจและตลาดหุ้นสหรัฐจะเริ่มลดลง ซึ่งล่าสุดถ้อยคำแถลงของคุณ Powell เริ่มพูดเป็นนัยถึงการทยอยลดความวงเงินการเข้าซื้อพันธบัตร จากปัจจุบันที่เดือนละ 1.2แสนล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งอาจเป็นผลให้ค่าเงินดอลลาร์ยืนแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นโดยเฉพาะฝั่งประเทศเกิดใหม่ และเราคาดว่าการลงทุนในช่วง 2Q21 ตลาดหุ้นฝั่งเกิดใหม่ (MSCI Emerging market) มีโอกาสที่จะให้ผลตอบแทนน้อยกว่า

มุมมองตลาดหุ้น/ กลยุทธ์การลงทุน แนะนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงเริ่มกลับมาทยอยสะสม JMT, DOHOME ประเมินกรอบ SET ที่บริเวณ 1,535 จุด เป็นโอกาสในการเข้าซื้อไม้แรก ในขณะที่ไม้สองรอ 1-2 สัปดาห์เพื่อพิจารณาอีกครั้ง

หุ้นแนะนำ JMT (พื้นฐาน 48.00 บาท) เราคาดว่ากำไรไตรมาส 1/2564 จะลดลงเล็กน้อย QoQ แต่เชื่อว่าการเก็บเงินสดจะเติบโตเล็กน้อย QoQ ซึ่งได้รับผลกระทบชั่วคราวจากสถานการณ์โควิด-19 และคาดว่าอัตราภาษีแท้จริงจะสูงขึ้นเป็น 20%, เราคาดว่า JMT จะมีกำไรที่เติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่อง YoY จากการเก็บเงินสดที่แข็งแกร่ง

DOHOME (พื้นฐาน 21.50 บาท) คาด SSSG ไตรมาส 1/2564 เติบโตแข็งแกร่งที่ 20% YoY (เทียบกับที่ 3.9% ในไตรมาส 4/2563) หนุนจากอุปสงค์วัสดุก่อสร้างที่เติบโตขึ้นและฐานที่ต่ำปีที่แล้ว, คาดกำไรสุทธิและ EPS จะมี CAGR ช่วง 3 ปี (ปี 2564-66) ที่ 27.3% และ 23.9% ตามลำดับหลังเราปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2564-66

รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ วันศุกร์ ติดตาม ตัวเลขผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีนเดือน มี.ค. คาด +15.6% YoY ตัวเลข CPI ของ Eurozone เดือน มี.ค. คาด +0.9% MoM และ +1.3% YoY ยอดอนุมัติก่อสร้างอาคารในสหรัฐฯเดือน มี.ค. คาด +1.7% MoM เป็น 1.75 ล้านยูนิต ยอดบ้านสร้างใหม่ในสหรัฐฯเดือน มี.ค. คาด +12.6% MoM เป็น 1.6 ล้านยูนิต และ Michigan Consumer Sentiment ในสหรัฐฯ เดือน เม.ย. คาด +4.7% MoM เป็น 88.9 จุด