เปิดคัมภีร์การลงทุนหุ้นไทยปี 66
ลุยฝ่ามรสุมเศรษฐกิจโลกถดถอย

.
ช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี 2565 มีนักลงทุนหลายต่อหลายคนเริ่มมองหาโอกาสการลงทุนและธีมการลงทุนที่จะมาถึงในปี 2566 ซึ่งภายใต้ความท้าทายที่เศรษฐกิจโลกถดถอยและนโยบายการเงินที่ยังเข้มงวดก็ถือเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ตลาดเกิดความกังวล ในวันนี้ทาง Wealthy Thai จึงอยากจะขอนำเสนอมุมมองการลงทุนและธีมการลงทุนที่น่าสนใจในปี 2566 มาแบ่งปันให้แก่ผู้อ่านและนักลงทุนที่สนใจกันในครั้งนี้
.
โดยบล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ประเมินเป้าหมายดัชนี SET สิ้นปี 2566 ที่ 1,720 จุด โดยอิง EPS ที่ 107 บาทต่อหุ้นและ PER Multiplier เฉลี่ย10 ปีย้อนหลังที่ 16.10 เท่า เหลืออัพไซต์ไม่มากราว 6 % เมื่อเทียบกับระดับดัชนี SET ปัจจุบันที่ 1,619 จุด (ราคาปิดวันที่ 16 ธ.ค. 2565 )
.
เนื่องจากปัจจัยบวกและลบมีน้ำหนักใกล้เคียงกันและในการวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยภูมิภาค ทั้งการเคลื่อนไหวของดัชนีและมูลค่าที่วัดผ่าน PER พบว่าดันชี SET แทบไม่เหลือความน่าสนใจในฐานะ Laggard Play เมื่อเทียบกับ Pre-COVID แล้ว โดยประเมินกรอบล่างที่ระดับ 1,500-1,550 จุดและกรอบบนที่ 1,800 จุด
.
ในเชิงของกลยุทธ์การลงทุน เนื่องจากปัจจัยบวกและลบมีน้ำหนักใกล้เคียงกัน โดยปัจจัยบวกคือ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน, การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่เน้นไปยังภาคการลงทุน, และการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นโค้งสุดท้ายที่เม็ดเงินจะไหลเข้าหา Election Rally Theme เพราะปี 2566 จะมีเพียงไม่กี่ประเทศที่ตลาดการเงินมีความ Active แล้วมีการจัดเลือกตั้ง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือประเทศไทย
.
ส่วนปัจจัยลบคือ การเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว, ความขัดแย้งระหว่างประเทศ เช่น สหรัฐฯ จีนที่ยังมีโอกาสเกิดขึ้นเป็นระยะ,และต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ปรับตัวขึ้น กระทบต่อผลประกอบการของภาคการผลิตและบริษัทขนาดกลาง เล็กที่ปรับตัวไม่ทัน
.
กลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจลงทุนคือโรงไฟฟ้า เช่น BGRIM, GPSC จากต้นทุนก๊าซปรับตัวลง และรับรู้ค่า Ft ใหม่เต็มปี ,ธนาคารพาณิชย์ เช่น BBL จากสินเชื่อที่เติบโตตามการฟื้นตัวของ GDP และ NIM ขยายตัวตามการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ กนง. ,ค้าปลีก เช่น CPALL, MAKRO จากยอดขายปรับตัวขึ้นตามการฟื้นตัวของภาคบริโภคและการท่องเที่ยว
.
ส่วนนิคมอุตสาหกรรม ได้รับประโยชน์เช่น AMATA, WHA จากการเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานใน EEC และการใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิต EV Car มากขึ้น กลุ่มหุ้นที่มีคะแนนด้าน Yuanta ESG Score ระดับสูง เช่น ADVANC, KBANK,GULF โดยคาดว่าหุ้น ESG จะได้รับความสนใจจากเม็ดเงินลงทุนทั่วโลกอีกครั้ง เพราะจะเป็นปีที่นักลงทุนให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยง มากกว่าการเร่งสร้างผลตอบแทนในการลงทุน
.
ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ประเมินดัชนี SET ปี 2566 ที่อิงกับปัจจัยพื้นฐานอยู่ที่ 1,750 จุด จุดเข้าซื้อที่สำคัญอยู่ที่ 1,500-1,600 จุด ซึ่งคาดว่าจะเห็นได้ช่วงไตรมาส 1/66 เนื่องจากจะมีแรงกดดันสำหรับภาวะทางการเงินที่เข้มงวดต่อเนื่องในไตรมาส 1/66
.
จากความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ความเสี่ยงที่กำไรจะชะลอตัวลงและความเสี่ยงด้านเสถียรภาพทางการเงินปรับตัวเพิ่มขึ้นทั่วโลก ดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจแสดงสัญญาณชะลอตัวลงต่อเนื่อง จึงแนะนำหุ้นที่มีงบดุลและกระแสเงินสดที่ดี ได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศของจีน กำไรมีแนวโน้มเติบโตและฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มเติบโตสูงอย่างชัดเจน สำหรับหุ้นเด่นในไตรมาส 1/66 คือ AOT BBL BCP CPALL และ MINT
.
ส่วนภาพเศรษฐกิจไทยในปี 2566 เชื่อจะชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับปี 2565 โดยมีการชะลอตัวลงของการส่งออก การลงทุน และการใช้จ่ายภาครัฐ เป็นแรงกดดันหลักแต่อย่างไรก็ดีภาคการท่องเที่ยว ภาคบริการ และการบริโภคในประเทศจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการเติบโตซึ่งจะช่วยลดผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
.
โดยเศรษฐกิจไทยจะเติบโตเร็วที่สุดในไตรมาสที่ 1 โดย GDP จะเติบโตประมาณ 4% และจะชะลอตัวลงอีกในช่วงครึ่งปีหลัง โดยจะเติบโตเกือบ 2% ในไตรมาสที่ 4 จากสาเหตุหลัก 3 ประการ คือ ประการแรก เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังซึ่งจะส่งผลทำให้การส่งออกปรับตัวลดลง
.
ประการที่สอง ในขณะที่การบริโภคภาคเอกชนจะเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญของเศรษฐกิจ แต่แรงขับเคลื่อนอื่นๆ เช่น การลงทุนภาคเอกชน และการใช้จ่ายภาครัฐ ทั้งการบริโภคและการลงทุนจะอ่อนแรง โดยมีสาเหตุมาจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวและการเบิกจ่ายที่ชะลอตัวของโครงการภาครัฐ
.
และประการสุดท้าย เชื่อว่าภาคการท่องเที่ยวจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจเติบโต โดยที่คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทยราว 21-25 ล้านคน ส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางระยะใกล้ (short-haul) มากกว่าระยะไกล (long-haul) ซึ่งจะสร้างรายได้ให้กับประเทศน้อยกว่า
.
บล.กสิกรไทย ออกบทวิเคราะห์การลงทุนในตลาดหุ้นไทยปี 2566 ว่ามีมุมมองบวกอย่างระมัดระวังต่อตลาดหุ้นไทยจากแนวโน้มการเติบโตที่ดีขึ้นและแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงในปี 2566 โดยคาดดัชนี SET จะอยู่ที่ 1,757 จุด อิงจาก EPS ปี 2567 ที่ 113 บาท และ PER ที่ 15.55 เท่า
.
หากเปรียบเทียบกับภูมิภาคอื่น ๆ มองว่าทวีปเอเชียและประเทศไทยจะอยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่าจากความเสี่ยงที่จะเกิดสภาวะเศรษฐกิจถดถอยน้อยกว่าสหรัฐฯและยุโรป และอัตราการเติบโตเศรษฐกิจของไทยที่คาดจะเติบโตขึ้น 3.7% ในปี 2566 และอัตราเงินเฟ้อที่คาดจะเข้าหาเป้าที่ธนาคารแห่งประเทศไทยตั้งไว้ที่ 1-3%
.
กรณีดีที่สุดคาดว่าดัชนี SET ปี 2566 จะอยู่ที่ 1,946 จุด อิง PER ที่ 17.22 เท่า หรือสะท้อนสถานการณ์ “goldilocks” ที่เศรษฐกิจโลกไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย ขณะที่อัตราเงินเฟ้อแนวโน้มลดลง
.
กรณีเลวร้ายที่สุดคาดว่าดัชนี SET จะอยู่ที่ 1,568 จุด อิง PER 13.88 เท่า หรือสะท้อนอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ระดับสูงมากและธนาคารกลางทั่วโลก รวมทั้งธปท.จะต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเชิงรุกในปี 2566 ในกรณีที่ปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ทวีความรุนแรงมากขึ้นคาดว่าดัชนี SET จะลดลงมาอยู่ที่ 1,475 จุด
.
แนวโน้มการลงทุนในปี 2566 ยังขึ้นอยู่กับสภาวะเศรษฐกิจรูปแบบ K-shaped เป็นหลัก คาดว่ากลุ่มที่มีรายได้ระดับสูงจะทำได้ดีกว่ากลุ่มรายได้ปานกลาง ตามสภาวะเศรษฐกิจรูปแบบ K-shaped การอัดฉีดเงินทั่วโลก (รวมถึงประเทศไทย) ส่งผลให้กำลังซื้อของกลุ่มผู้มีรายได้ระดับสูงแข็งแกร่งกว่าทั้งในแง่ของความสามารถในการรับมือกับภาวะเงินเฟ้อระดับสูงได้ดีกว่าหรือสภาวะเงินเฟ้อที่อาจจะตึงตัวต่อเนื่องในปี 2566
.
ปัจจัยเสี่ยงหลักด้านนโยบายหากเงินเฟ้อไม่ปรับลดลงในปี 2566 จากการที่ดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเพียงเล็กน้อยสภาวะเศรษฐกิจไทย จึงมีความเสี่ยงด้านนโยบายหากอัตราเงินเฟ้อยังตึงตัวและยืนสูงในปี 2566 และวัฎจักร NPL อาจเลวร้ายลงอีก เรามองว่าไม่ควรวางใจเกินไปกับวัฎจักรเครดิตของไทย NPL อาจเพิ่มสูงขึ้น หลังการปรับโครงสร้างหนี้สินเชิงรุกในช่วงวิกฤติ Covid สินเชื่อที่มีอัตราผลตอบแทนสูงปัจจุบันยังคงมีปัญหา NPLs ที่ยังเพิ่มสูงขึ้น
.
สำหรับธีมการลงทุนและหุ้นแนะนำจะประกอบไปด้วย กลุ่มป้องกันความเสี่ยงจากปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ BCP และ PRM,กลุ่มป้องกันความเสี่ยงจากวัฎจักร NPL ในประเทศ BAM ,กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น KTB ,กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากสภาวะเศรษฐกิจแบบ K-shaped: SC (ผู้เล่นในประเทศ) และ AAI (ผู้เล่นส่งออก) ,กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศ CPN, CRC, BDMS, MINT และ ADVANC และกลุ่มที่มูลค่าหุ้นไม่แพง TEGH


