KTBST วิเคราะห์หุ้น STA - STGT ประเมินกลุ่มถุงมือยางกำลังเข้าสู่ขาลง หลังโควิดเริ่มคลี่คลายมากขึ้น พร้อมหั่นเป้ากระจุย ทั้งกำไร - คำแนะนำ และราคาเหมาะสม หั่น STA ลงเป็น “ถือ” จาก “ซื้อ” เหลือเป้าแค่ 36 บ. ส่วน STGT แนะขาย ลดเป้าลงเหลือ 27.50 บ.
ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้น บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA และ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT บริษัทแม่ลูกผู้ทำธุรกิจยางพารา-ถุงมือยางที่ราคาหุ้นเคยร้อนแรงในช่วงปี 63 จากความต้องการสินค้าในช่วงการระบาดของโควิด-19 แต่ในช่วงครึ่งหลังปี 64 ราคาหุ้นทั้ง 2 บริษัทปรับตัวลดลงอย่างหนักจนนักวิเคราะห์ ได้เริ่มออกมาปรับลดเป้าประมาณการกำไร และราคาเป้าหมายแล้ว
โดยราคาหุ้นของ STA ปรับลดลงมาตั้งแต่ช่วงเดือนมี.ค.64 จากจุดสูงสุดที่ระดับ 56.75 บาท ก่อนมาปิดไตรมาส 3/64 ที่ 33.50 บาท หรือลดลงกว่า 40% ขณะที่ STGT ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ STA เริ่มปรับลดลงช่วงกลางเดือนพ.ค.64 จากระดับสูงสุดที่ 49 บาท มาปิดไตรมาส 3/64 ที่31.25 บาท หรือ 36.22%
ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) หรือ KTBST ได้ประเมินทิศทางราคาหุ้น ทั้ง 2 บริษัท ล่าสุดในวันนี้ (11 ต.ค.64) โดยได้หั่นเป้ากำไรของทั้งคู่ลง ทั้งรายไตรมาส และรายปี เนื่องจากทิศทางราคาถุงมือยางที่ลดลงจากการระบาดของโควิด-19 ที่ชะลอลงในหลายประเทศ รวมถึงปรับลดคำแนะนำ และราคาเหมาะสมลงด้วย
* STA หั่นกำไรปี 64/65 ลงอีก -14%/-22% หลังราคาถุงมือยางร่วง
KTBST ประเมิน STA ว่า คาด core profit ขยายตัว YoY แต่ลดลง QoQ จากราคาถุงมือยางที่ปรับตัวลง เราคาดว่าบริษัทจะรายงาน core profit อยู่ที่ 3,563 ล้านบาท (+66% YoY, -29% QoQ) เติบโตโดดเด่น YoY สาเหตุหลักมาจากราคาและปริมาณขายถุงมือยางที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ลดลง QoQ จาก
1) คาดกำไรจากธุรกิจถุงมือยางลดลง จากราคาขายถุงมือยางลดลงประมาณ -30% QoQ อยู่ที่ 1.59 บาทต่อชิ้น แม้ว่าจะได้ปริมาณการขายปรับตัวเพิ่มขึ้นมาเป็น 7.2 พันล้านชิ้น (+1%YoY, +26% QoQ) หนุนโดยกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากโรงงานผลิตถุงมือยาง สุราษฎร์ 2 และ 3
2) ธุรกิจขายยางธรรมชาติยังอยู่ในช่วงขาขึ้นต่อเนื่อง โดยคาดปริมาณการขายจะปรับขึ้นเป็น 3.21 แสนตัน (+3% QoQ) และคาดราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 170 US cent/kg เพิ่มขึ้นประมาณ +5% QoQ
3) คาด gross margin อยู่ที่ 29.0% จาก 36.7% ของ Q2/64 จาก product mix ของราคาถุงมือยางที่ลดลง
คาดผลการดำเนินงานในช่วง Q4/64 ยังอยู่ในช่วงขาลง QoQ จาก ราคาขายถุงมือยางที่จะปรับตัวลงต่อเนื่อง และธุรกิจขายยางธรรมชาติจะปรับตัวดีต่อเนื่อง QoQ จากปริมาณการขายที่เพิ่มมากขึ้น จากที่บริษัทได้ลูกค้ารายใหม่เข้ามาที่ย้าย supplier จาก อินโดนีเซีย Implication
โดยปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 64/65 ลงอีก -14%/-22% ตามลำดับ อยู่ที่ 17,781 ล้านบาท (+87% YoY) และ 10,191 ล้านบาท (-43% YoY) ตามลำดับ สาเหตุหลักมาจาก ได้ปรับราคาขายถุงมือยางปี 64/65 ลงเป็น 1.83/1.20 บาท/ชิ้น จากอยู่ที่ 1.88/1.50 บาท/ชิ้น และปรับ gross margin ปี 64/65 ลงเป็น 33%/19% จาก 39%/20% รวมถึงคาดปริมาณการขายยางปี 64/65 อยู่ที่ 1.3/1.4 ล้านตัน
ทั้งนี้ปรับคำแนะนำลงเป็น “ถือ” จากเดิม “ซื้อ” และปรับราคาเป้าหมายลงเป็น 36.00 บาท อิง 65 PER 6.0 เท่า จาก 48.00 บาท อิง 65 PER เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมยางในอดีต โดยมองว่า STA ควรเทรด discount จากค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม จากแนวโน้มผลการดำเนินงานในทิศทางขาลง และเราปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 64/65 ลงอีก - 14%/-22% สาเหตุหลักมาจากการปรับราคาขายถุงมือยางลง
* ลดคำแนะนำ STGT เป็นขาย - เทรนด์ถุงมือยางขาลง
ด้าน STGT คาดกำไร Q3/64 หดตัวจากราคาขายที่ปรับตัวลดลงตามตลาดโลก ประเมินกำไรสุทธิ Q3/64 ที่ 4,976 ล้านบาท (+13% YoY, -32% QoQ) โดยกำไรรายไตรมาสยังคงอยู่ในแนวโน้มขาลง จาก
1) ทิศทางราคาขายถุงมือยางเฉลี่ย (ASP) ที่ยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่องตามตลาดโลก ทั้งนี้คาด ราว -30% QoQ อยู่ที่ 1.59 บาทต่อชิ้น แม้ว่ายอดขายถุงมือยาง Q3/64 ปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่ 7.2 พันล้านชิ้น (+1%YoY, +26% QoQ) หนุนโดยกาลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากโรงงานผลิตถุงมือยาง สุราษฎร์ 2 และ 3 รวมถึงการแก้ปัญหาการขนส่งที่กระจายไปยังท่าเรือต่างๆ มากขึ้น จากเดิม Q2/64 ที่กระจุกตัวอยู่ที่ท่าเรือสงขลาเป็นหลัก
2) คาด Gross profit margin ปรับตัวลดลงอยู่ที่ 52.8% (Q2/64 = 66.7%, Q3/63 = 60.3%) เป็นผลจากราคาขายที่ปรับตัวลดลงแรง ในขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบปรับตัวลดลงเล็กน้อยราว -5% QoQ
3) SG&A to sales มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 4.6% (Q2/64 = 3.6%, Q3/63 = 2.9%) จากค่าใช้จ่ายในการกระจายการขนส่งที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เพื่อแก้ปัญหาการในเรื่องของตู้คอนเทนเนอร์และเรือที่ทาการส่งไปยังทวีปอเมริกาและยุโรป
ทั้งนี้ได้ปรับกำไรสุทธิปี 64/65 ลดลงอีก -20%/-35% โดยปรับกำไรสุทธิปี 64 ลง -20% เป็น 2.69 หมื่นล้านบาท (+87% YoY) จากปริมาณการขายมีแนวโน้มต่ำกว่าที่คาดจากปัญหาเรื่องการขนส่งรวมถึงทิศทางแนวโน้มราคาขายถุงมือยาง (ASP) ยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยเราได้ปรับสมมติฐาน คือปรับลดปริมาณการขายลง -7% เป็น 2.8 หมื่นล้านชิ้น จากเดิมที่ 3.0 หมื่นล้านชิ้น และปรับราคาขายเฉลี่ย (ASP) ลงเป็น 1.83 บาทต่อชิ้น จากเดิม 1.88 บาทต่อชิ้น รวมถึงปรับ Gross profit margin ลดลงเป็น 61% จากเดิมที่ 68%
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการ Q4/65 คาดยังคงหดตัว QoQ โดยคาดเห็นปริมาณการขายปรับตัวเพิ่มขึ้น QoQ แต่ราคาขายถุงมือยางเฉลี่ย (ASP) จะยังคงปรับตัวลดลง QoQ ต่อเนื่องจาก Q3/64 ราว -15% QoQ
และปรับกำไรสุทธิปี 65 ลง -35% เป็น 1.11 หมื่นล้านบาท (-58% YoY) โดยประเมินว่าราคาขายถุงมือยาง (ASP) จะยังปรับตัวลดลงต่อเนื่อง จากจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ทั่วโลกที่ปรับตัวลดลง และมีหลายประเทศเตรียมแผนจะประกาศให้ Covid-19 เป็นโรคประจำถิ่นในปีหน้า อาทิ ประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ เป็นต้น ประกอบกับปัจจุบันเริ่มมียารับประทานต้านไวรัสที่ช่วยรักษาอาการป่วยอย่าง โมลนูพิราเวียร์ (Molnupiravir) สวนทางกับกำลังการผลิตถุงมือยางโลกที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะในปี 65 ราว 30-35% YoY
ส่งผลให้เราปรับสมมติฐาน ปรับราคาขายเฉลี่ย (ASP) ลงเป็น 1.20 บาทต่อชิ้น จากเดิม 1.50 บาทต่อชิ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากผลิตภัณฑ์ใหม่ “ถุงมือยางธรรมชาติไร้โปรตีน” (Powder free) คาดราคาจะสูงกว่าถุงมือยางธรรมชาติเล็กน้อย ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์ใหม่ดังกล่าวจะเข้าไปเจาะตลาดถุงมือยางไนไตล์ที่บริษัทขายอยู่อย่าง อเมริกา ยุโรป เป็นต้น และ ปรับ Gross profit margin ลดลงเป็น 30% จากเดิมที่ 35%Valuation/Catalyst/Risk
โดยปรับราคาเป้าหมายลงเป็น 27.50 บาท อิง 65 PER เดิมที่ 7x โดยปรับคำแนะนำลงเป็น “ขาย” จากเดิม “ถือ” เนื่องจากทิศทางกำไรยังคงอยู่ในขาลง ซึ่งยังคงถูกกดดันจากราคาขายเฉลี่ย (ASP) ที่ยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่องตามทิศทางตลาดโลก ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบยังคงทรงตัวในระดับสูง ประกอบกับคาดความต้องการใช้ถุงมือยางมีแนวโน้มปรับตัวลดลงตามสัดส่วนผู้ฉีดวัคซีนที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นและกำลังการผลิตของถุงมือยางโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกราว 30-35% ในปี 65 ทาให้ EPS CAGR 65-66 ปรับตัวลดลง -44% จาก EPS CAGR 62-64E ที่มีการเติบโตสูงถึง +551%