ห้องเม่าปีกเหล็ก

IVL โชว์กำไร Q2/65 โต 143% ส่วน PTTGC กำไรลดลง 94% หลังขาดทุนตราสารอนุพันธ์-FX

โดย บุปผาวดี
เผยแพร่ :
225 views

IVL โชว์กำไร Q2/65 โต 143% ส่วน PTTGC กำไรลดลง 94% หลังขาดทุนตราสารอนุพันธ์-FX

 

 

บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL รายงานผลดำเนินงานไตรมาส 2/65 มีกำไรสุทธิ 20,277.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 143% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 8,339.61 ล้านบาท ส่วนงวด 6 เดือนแรก ปี 65 มีกำไรสุทธิ 34,347.78 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 139.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 14,348.42 ล้านบาท

.

โดยไตรมาสนี้ บริษัทมีรายได้จากการขาย 186,741 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้ 111,301 ล้านบาท มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 262 ล้านบาท และรายได้อื่น 3,976 ล้านบาท

.

บริษัทมีค่าใช้จ่ายรวม 162,696 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีค่าใช้จ่าย 100,976 ล้านบาท ซึ่งมาจากต้นทุนขายสินค้าที่เพิ่มขึ้นเป็น 144,414 ล้านบาท ต้นทุนการจัดจำหน่ายเพิ่มขึ้นเป็น 10,403 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการบริหาร ที่ 7,472 ล้านบาท

.

บริษัทประสบความสำเร็จในผลประกอบการในไตรมาสที่ 2/65 โดยมี Core EBITDA เพิ่มสูงขึ้น 17% เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาสและปริมาณการผลิตเพิ่มสูงขึ้น 1% เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส รายได้ทั้งหมดเพิ่มสูงขึ้นประมาณ 11% เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส ธุรกิจ CPET เติบโต 13% เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาสสำหรับกิจการเดิม และไตรมาสนี้ได้มีการรวมสองธุรกิจใหม่คือ Oxitenoและ Vietnam Packaging ทำให้รายได้เติบโตเพิ่มอีก 12%

.

ผลการดำเนินงานในไตรมาสนี้ได้รับประโยชน์จากอัตรากำไรที่สูงขึ้นมากกว่าการถูกหักกลบจากต้นทุนพลังงานและสาธารณูปโภคที่สูงขึ้นในทวีปยุโรปและประเทศสหรัฐอเมริกา ในภาวะถดถอยจะเห็นได้ว่าอำนาจการใช้จ่ายในสินค้าคงทนของผู้บริโภคลดลงซึ่งส่งผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์ที่เหลืออยู่อีก 25% อย่างไรก็ตามการเปิดประเทศอีกครั้งของประเทศจีนจะนำมาซึ่งอุปสงค์ที่สำคัญและทำให้บริษัทไม่ได้รับผลกระทบโดยรวม

.

ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบ Brent เพิ่มสูงขึ้นและมีจุดสูงสุด ที่114 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลในไตรมาสที่ 2/65 และการเก็งกำไรของราคา octane ระหว่างฝั่งตะวันตกและเอเชีย ส่งผลให้ต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้นเกิจริง แต่ทีมผู้บริหารมีความสามารถในการบริหารจดัการต้นทุนที่เพิ่มขึ้นนและราคาพลงังานที่สูงขึ้น และเชื่อว่า ราคาน้ำมันดิบ Brent จะเริ่มกลับมาเป็นปกติต่อจากนี้และมีความจำเป็นที่จะต้องจัดการอย่างรอบคอบในการลดอัตรากำลังการผลิต เพื่อให้เกิดผลขาดทุนจากสินค้าคงเหลือน้อยที่สุด การเก็งก าไรต้นทุน octane จะกลับเข้าสู่ภาวะ ปกติในเดือนหน้า ทำให้ราคาวตัถุดิบที่สูงเกินจริงลดต่ำลงในตลาดฝั่งตะวันตก

.

สำหรับอัตราหนี้สินสุทธิต่อทุน เพิ่มขึ้นจาก 1.03 เท่าในไตรมาสที่ 1/65 เป็น 1.25 เท่า ในวันที่1 เม.ย.65เนื่องจากบริษัทได้เสร็จสิ้นการเข้าซื้อกิจการ Oxiteno ไตรมาสที่2/ 65 อัตราส่วนหนีสินต่อทุนลดลงเป็น 1.12 เท่า ด้วย EBITDA และกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้บริษัทมีเป้าหมาย การเพิ่ม EBITDA เป็นสองเท่าทุก ๆ ห้าปี และมีเป้าหมายที่จะรักษาอัตราหนี้สินสุทธิต่อทุนเท่ากับ 1 เท่าโดยอาจมีระดับสูงสุดที่ 1.5 เท่า

 

ส่วน PTTGC เผยไตรมาส 2/65 ทำกำไรที่ 1.38 พันล้านบาท ลดลง 94% หลังขาดทุนตราสารอนุพันธ์ป้องกันความเสี่ยง และขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน แต่รายได้เพิ่มขึ้นจากราคาขายที่เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมัน ส่วน 6 เดือนแรก มีกำไร 5.5 พันล้านบาท ลดลง 84%

.

บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC รายงานผลดำเนินงานไตรมาส 2/65 มีกำไรสุทธิ 1,388.26 ล้านบาท ลดลง 94% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 25,034.73 ล้านบาท

.

บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 196,397 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 76% จากไตรมาส 2/64 เป็นผลมาจากการปรับเพิ่มขึ้นของราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามราคาน้ำมันดิบ เช่นเดียวกับ ราคาขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีส่วนใหญ่ปรับตัวสูงขึ้นตามทิศทางราคาวัตถุดิบ รวมถึงยังมีปัจจัยสนับสนุนด้านอุปทานที่ตึงตัวจากการหยุดซ่อมบำรุงและการปรับลดกำลังการผลิตของผู้ผลิตบางรายในภูมิภาคเนื่องจากต้นทุนการผลิตที่สูงทำให้ไม่คุ้มค่าในการผลิต

.

อย่างไรก็ตาม ปริมาณขายรวมของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีปรับลดลงในไตรมาสนี้เนื่องจากการปิดซ่อมบำรุงตามแผนของโรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 3 โรงอะโรเมติกส์หน่วยที่ 1 รวมถึงโรง LDPE และ LLDPE ทำให้ในไตรมาสนี้ บริษัทฯ มี Adjusted EBITDA อยู่ที่ 21,029 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 29% ช่วงเดียวกันปีก่อน

.

บริษัทมีผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยง 12,734 ล้านบาท ซึ่งมีสาเหตุหลักจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นจริงสูงกว่าราคาที่ทำประกันความเสี่ยงไว้โดยเป็นการรับรู้ที่เกิดขึ้นแล้ว (realized) จำนวน 11,598 ล้านบาท และที่ยังไม่เกิดขึ้น (unrealized) จำนวน 1,136 ล้านบาท ผลขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยน(FX) 4,378 ล้านบาท กำไรจากตราสารอนุพันธ์ทางการเงิน 1,712 ล้านบาท

.

ในไตรมาสนี้ บริษัทฯ เดินเครื่องกำลังการผลิตที่ระดับ 98% ลดลงจากไตรมาส 1/65 โดยส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมกับน้ำมันดิบดูไบส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากทั้งไตรมาสก่อนหน้าและไตรมาส 2/64 ส่งผลให้ค่าการกลั่น (Market GRM) ของธุรกิจโรงกลั่นในไตรมาสนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 21.09 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เทียบกับ 7.60เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในไตรมาสก่อนหน้า

.

นอกจากนี้ จากการที่ราคาน้ำมันดิบดูไบปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทฯ รับรู้ผลกำไรจากสต๊อกน้ำมัน (Stock Gain) ที่ 4.87 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในขณะที่บริษัทฯ รับรู้ผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยงสุทธิ -20.71 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

.

โดยบริษัทฯ มีผลขาดทุนโดยหลักจากทิศทางราคาน้ำมันดิบและส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นจริงสูงกว่าราคาที่ทำประกันความเสี่ยงไว้ ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นทางบัญชี (Accounting GRM) ในส่วนของโรงกลั่นอยู่ที่ 5.24 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นจากทั้งไตรมาส 1/65 และไตรมาส 2/64 และมี Adjusted EBITDA และ Adjusted EBITDA Margin อยู่ที่ 10,297 ล้านบาท และ 12% ตามลำดับปรับเพิ่มขึ้นจาก 3,342 ล้านบาท และ 5% ในไตรมาส 1/65 ตามลำดับ

.

ส่วนงวด 6 เดือนแรก ปี 65 มีกำไรสุทธิ 5,599.93 ล้านบาท ลดลง 84 % จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 34,729.60 ล้านบาท โดยมีรายได้จากการขาย 371,951 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 74% มีต้นทุนวัตถุดิบ 285,693 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 84% โดยมี Stock Gain ที่ 7,968 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 113% และขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยง จำนวน 21,302 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,637%

***********************************

 


บุปผาวดี