หุ้นกลุ่มธนาคารผลงานปีนี้โตต่อ
อาจฟันกำไรรวม 1.83 แสนล้านบาท พุ่ง 11%

.
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานักลงทุนต่างบอบช้ำจากแรงกดดันภายนอก ที่เข้ามากระทบตลาดหุ้นไทยพอสมควรหลังจากปัญหาธนาคารรายใหญ่ในสหรัฐอเมริกา และปัญหาของ Credit Suisse เป็นเหตุทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงอย่างร้อนแรง แม้จะมีนักวิเคราะห์ออกมาบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “หุ้นไทยไม่ได้รับผลกระทบ” เพราะธนาคารสหรัฐมีปัจจัยลบเฉพาะตัว ส่วน Credit Suisse หลายปีมานี้ประสบปัญหาด้านกฎหมาย และการกำกับดูแล
.
เช่นเดียวกันกับนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มีความเห็นว่า ในช่วงหลายวันมานี้นักลงทุนได้ทำการปรับราคหุ้นในพอร์ตตาม profile ความเสี่ยง หลังจากที่ธนาคารสหรัฐสามแห่งล้มไป และ Credit Suisse ต้องรับการชั่วเหลือ 5.4 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ จาก Swiss National Bank โดยมองว่าสินทรัพย์เสี่ยงได้รับความเสียหายไปแล้วบางส่วน
.
แต่ทั้ง Fed และ ECB มีประสบการณ์อย่างสูงมาแล้วจากวิกฤติธนาคารปี 2551/2554 และน่าจะเน้นไปที่การให้ความช่วยเหลือทางด้านสภาพคล่องเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความล้มเหลวทั้งระบบ ณ ปัจจุบัน ยังเชื่อว่าธนาคารสหรัฐที่ล้มไปนั้นมีปัจจัยลบเฉพาะตัว อย่างเช่น เน้นทางด้าน crypto และมีปัญหาสินทรัพย์-หนี้สินไม่สอดคล้องกัน ส่วนในกรณีของ Credit Suisseก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าหลายปีมานี้ประสบปัญหาด้านกฎหมาย และการกำกับดูแล
.
ดังนั้นหากย้อนกลับมาที่ประเทศไทย คอลัมน์ “โพยหุ้น” ประจำวันจันทร์ Wealthy Thai จะพานักลงทุนมาส่องปัจจัยพื้นฐานหุ้นกลุ่มธนาคารในตลาดหุ้นไทยกันว่าจะเป็นอย่างไร โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ประเมินประเด็นเรื่องปัญหาสภาพคล่องของธนาคารต่างประเทศ อย่าง Silicon Valley Bank, Signature Bank และSilver gate Bank ล่าสุด Credit Suisse ทำให้ตลาดมีความกังวลต่อธนาคารไทย
.
แต่มองว่าธนาคารไทยที่ศึกษายังมีสภาพคล่องที่แข็งแกร่งจาก 1.Liquidity Coverage Ratio (LCR) อยู่ระดับสูงที่ 139-292% มากกว่าขั้นต่ำที่ BOT กำหนดที่ 100% 2. Total Capital Ratio อยู่ระดับสูงที่ 17-21% มากกว่าขั้นต่ำที่ BOT กำหนดที่ 12%
.
โดยภาพรวมของกลุ่มธนาคาร ยังคงคาดกำไรสุทธิในปี 66 ที่ 1.83 แสนล้านบาท เติบโต 11% จากปีก่อน ซึ่งให้น้ำหนักการเติบโตมาจากด้านรายได้รวม และคงน้ำหนักการลงทุนกลุ่มธนาคารที่ BULLISH โดยเลือก BBL (แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 200 บาท ) เป็น Top pick ของกลุ่มธนาคาร
.
ขณะที่นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) คงมองบวกกับกลุ่มธนาคารไทย และคาดว่าราคาหุ้นในกลุ่มน่าจะดีดกลับในระยะสั้น หลังจากที่ผู้ฝากเงินในสหรัฐดูกลับมามีความเชื่อมั่นมากขึ้นหลังได้มาตรการอัดฉีดสภาพคล่องของ Fed
.
อย่างไรก็ตามเนื่องจากภาวะตลาดยังไม่เอื้ออำนวย และดูยังมีอุปสรรคทางด้านเศรษฐกิจมหภาค จึงเชื่อว่ากลุ่มธนาคารจะกลับมาน่าสนใจได้อีกครั้งก็ต่อเมื่อผลประกอบการไตรมาส 1/66 แสดงให้เห็นว่าธนาคารสามารถขยายสินเชื่อได้อย่างแข็งแกร่ง และมี NIM ที่เพิ่มขึ้น
.
โดยยังแนะนำ “ซื้อ” BBLราคาเป้าหมาย 180 บาท, แนะนำ "ซื้อ" KBANK ราคาเป้าหมาย 180 บาท, แนะนำ "ซื้อ" KTB ราคาเป้าหมาย 24 บาท, แนะนำ "ซื้อ" SCB ราคาเป้าหมาย 160 บาท, แนะนำ "ซื้อ" TMB ราคาเป้าหมาย 1.65 บาท และ แนะนำ "ซื้อ" TISCO ราคาเป้าหมาย 110 บาท