10 ธนาคารใหญ่ในไทย
ไตรมาส 1 โกยกำไร 6 หมื่นล้าน พุ่ง 13%

.
ประกาศออกมาครบแล้วสำหรับผลประกอบการของหุ้นกลุ่มธนาคาร โดยภาพรวมไตรมาส 1/66 ของธนาคารทั้ง 10 แห่ง มีกำไรสุทธิอยู่ที่ราว 60,280 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.02% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 53,337 ล้านบาท ซึ่ง SCB หรือ บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) เป็นธนาคารที่มีกำไรสุทธิมากที่สุด โดยมีกำไรสุทธิไตรมาส 1/66 อยู่ที่ 10,995 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.50% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
.
รองลงมาเป็น KBANK หรือ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) มีกำไรสุทธิไตรมาส 1/66 ที่ 10,741 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 4.19% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
.
KTB หรือ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) มีกำไรสุทธิไตรมาส 1/66 ที่ 10,741 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
.
BBL หรือ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) มีกำไรสุทธิไตรมาส 1/66 ที่ 10,129 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42.30% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
.
BAY หรือ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด มีกำไรสุทธิไตรมาส 1/66 ที่ 8,676 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
.
TTB หรือ ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) มีกำไรสุทธิไตรมาส 1/66 ที่ 4,295 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
.
KKP หรือ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) มีกำไรสุทธิไตรมาส 1/66 ที่ 2,085 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.40% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
.
TISCO หรือ บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มีกำไรสุทธิไตรมาส 1/66 ที่ 1,793 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 0.11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
.
CIMBT หรือ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) มีกำไรสุทธิไตรมาส 1/66 ที่ 830 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.80% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
.
และสุดท้าย LHFG หรือ บริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มีกำไรสุทธิไตรมาส 1/66 ที่ 669 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.90% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
.
ปี 2566 กำไรกลุ่มแบงก์ยังโต 11%
ส่วนภาพรวมกำไรสุทธิของปี 2566 นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คาดกำไรสุทธิของกลุ่มธนาคารจะยังเติบโตประมาณ 11% จากปีก่อน เพราะแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นจะช่วยให้ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อได้
.
รวมถึงการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบจะช่วยให้สินเชื่อและรายได้ค่าธรรมเนียมกลับมาฟื้นตัวได้ดี ด้านแนวโน้มหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) จะอยู่ในรูปแบบค่อยๆ ทยอยเพิ่มขึ้น ซึ่งฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าปี 2566 NPL จะขยับขึ้นมาอยู่ที่ 3.05% จากปีก่อนที่ 2.89%
.
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงน้ำหนักการลงทุนหุ้นกลุ่มธนาคาร “มากกว่าตลาด” เพราะ valuation ยังถูก โดยชอบ BBL แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 187 บาท เพราะ BBL เป็นหุ้นที่ได้ประโยชน์สูงสุดจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้น อีกทั้งยังมีความแข็งแกร่งทางด้านการเงินที่รองรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้ดีกว่าคู่แข่ง และ KTB แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 20 บาท เพราะ Valuation ปัจจุบันซื้อขายที่ระดับต่ำกว่ากลุ่มธนาคาร ขณะเดียวกันยังมี upside เพิ่มจากแอฟเป๋าตัง