ท่านนักลงทุนอาจจะมีความเห็นในประเด็นเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อทิศทางตลาดหุ้นมากที่สุดคืออะไร? นี้แตกต่างกันไปตามความรู้ ประสบการณ์ และความสนใจในการลงทุน ยกตัวอย่าง ดังนี้ คือ :
1) นักลงทุนบางท่านอาจจะบอกว่า " การเมืองภายในประเทศไทย " มีผลต่อทิศทางตลาดหุ้นมากที่สุด
2) นักลงทุนบางท่านอาจจะบอกว่า " ราคานํ้ามัน " มีผลต่อทิศทางตลาดหุ้นมากที่สุด
3) นักลงทุนบางท่านอาจจะบอกว่า " การเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรม " มีผลต่อทิศทางตลาดหุ้นมากที่สุด
เป็นต้น
แต่สําหรับผู้โพสต์แล้ว ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดหุ้นมากที่สุดคือ " นโยบายของเฟด " ยกตัวอย่าง เช่น :
1) ดาวโจนส์ ปรับตัวจาก 6,547 จุด เมื่อวันที่ 9 มีนาคม ปี พ.ศ 2552 มาทําจุดสูงสุดตลาดกาลที่ 26,951จุด เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม ปี พ.ศ 2561 เพราะนโยบายการทํา QE ของเฟด
2) ตลาดหุ้นไทย ปรับตัวจาก 380 จุด เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน ปี พ.ศ 2551 มาทําจุดสูงสุดตลาดกาลที่ 1,852 จุด เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ปี พ.ศ 2561 เพราะนโยบายการทํา QE ของเฟด
3) ดาวโจนส์ ปรับตัวลงมาจากจุดสูงสุดตลาดกาลที่ 26,951 จุด เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม ปี พ.ศ 2561 มาทําจุดตํ่าสุดในรอบที่แล้วที่ 21,712 จุด เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม ปี พ.ศ 2561 เพราะเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย Fed Fund Rate บ่อยและถี่เกินไปถึง 4 ครั้งในปี พ.ศ 2561
4) ตลาดหุ้นไทย ปรับตัวลงมาจากจุดสูงสุดตลาดกาลที่ 1,852 จุด เมื่อวันที่ 27 กุมภาพพันธ์ ปี พ.ศ 2561 มาทําจุดตํ่าสุดในรอบที่แล้วที่ 1,546 จุด เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม ปี พ.ศ 2561 เพราะเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย Fed Fund Rate บ่อยและถี่เกินไปถึง 4 ครั้งในปี พ.ศ 2561
ในเมื่อมีความเชื่ออย่างนี้แล้ว และมีข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้ว่า ดอกเบี้ย Fed Fund Rate จะยังคงเป็นขาขึ้นรอบใหญ่ แต่ " นโยบายของเฟด " จะผ่อนคลายลง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม ปี พ.ศ 2561 ที่ผู้โพสต์ Long Set 50 Index Futures Series S50M19 ที่ 1,082,4 จุด ( ที่ Set Index ที่ 1,634 จุด ) และตั้ง Automatic All Time Stop Loss ของ S50M19 ไว้ที่ 1,065.9 จุด ไปจนถึงวันองคารแรกของเดือนพฤศจิกายน ปี พ.ศ 2563 ซึ่งเป็นวันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาครั้งต่อไป และประเด็นสําคัญอยู่ที่ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีนโยบายที่จะทําให้ " นโยบายของเฟด " มีการผ่อนคลายจากการให้สัมภาษณ์สื่อเมื่อวันที่ 14 เมษายน ปี พ.ศ 2562 ดังนี้ คือ :
" หากเฟดทำหน้าที่ได้อย่างเหมาะสม, ซึ่งไม่ได้ทําเลย ตลาดหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีก 5,000 ถึง 10,000 จุด และจีดีพีก็น่าจะดีกว่า 4% แทนที่จะเป็น 3% ... โดยแทบจะไม่มีอัตราเงินเฟ้อ การกระชับเชิงปริมาณเป็นนักฆ่าดีๆนี่เอง เฟดควรทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกันให้ถูกต้อง! "
ซึ่งมีส่วนสําคัญอย่างมากที่สุด, ตามความเห็นของผู้โพสต์, ที่จะเป็นผลงานที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะได้รับเลือกตั้งให้กลับมาดํารงตําแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาอีกสมัยหนึ่ง
สําหรับผู้โพสต์เอง เริ่องอื่นๆนอกจากเรื่อง " นโยบายของเฟด " เป็นเรื่อง " ขี้หมูรา ขี้หมาแห้ง จะรู้ก็ได้ ไม่รู้ก็ได้ " เพราะ " มีผลต่อตลาดหุ้นน้อยมาก " คร๊าบ พี่น้อง สิบอกไห่!
หมายเหตุ : โปรดติดตามการ Long และ Short Set 50 Index Futures ในระยะยาวได้ใน longtunbysak.blogspot.com