ห้องเม่าปีกเหล็ก

พิษ “โควิด-19” ทุบดัชนีร่วงหนัก “เซียนหุ้น” ยอมรับพอร์ตติดลบถ้วนหน้า

โดย คนเล่นหุ้น
เผยแพร่ :
62 views

“นิเวศน์” ชี้วิกฤติรอบนี้แรงกว่า “ต้มยำกุ้ง” เผยพอร์ตปีนี้ลดลงแล้ว 20% เตรียมเงินสดรอจังหวะเข้าซื้อ เน้นหุ้นพื้นฐานดีที่ลงลึก ณะ “เสี่ยป๋อง” เน้นถือเงินสด รอแรงขายหมดค่อยซื้อ

 

ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหุ้นและผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนแนวเน้นคุณค่า (VI) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยช่วงที่ผ่านมาปรับตัวลงค่อนข้างแรง ส่งผลให้พอร์ตการลงทุนส่วนตัว “ลดลง” หรือ “ติดลบ”

 

ราว 20% เมื่อเทียบกับช่วงปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ใช้วิธีตุนกระสุนเพื่อรอจังหวะกลับเข้าไปลงทุนอีกครั้ง ทั้งนี้ตลาดหุ้นไทยที่ปรับลดลงแรงในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ต้องพยายามเลือกหุ้นที่แข็งแกร่งและมีพื้นฐานรองรับ โดยต้องติดตามบริษัทที่ราคาหุ้นปรับลดลงไปมากๆ แต่พื้นฐานไม่ได้เปลี่ยนแปลง หรืออาจกระทบเพียงแค่ชั่วคราว ที่สำคัญ ต้องเป็นผู้นำในกลุ่มอุตสาหกรรมไม่ถูกทำลายด้วยเทคโนโลยี รวมทั้งในยามวิกฤติก็ยังคงประคองตัวรอดได้และคาดว่าหลังผ่านวิกฤติธุรกิจจะกลับมาฟื้นตัวได้อย่างน้อยในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า

 

นอกจากนี้อีกประเด็นที่สำคัญ คือ ต้องเป็นหุ้นที่ปันผลดี อย่างน้อยต้องไม่ต่ำกว่า 4-5% ต่อปีขึ้นไป ขณะที่ราคาหุ้นต้องถูก สะท้อนได้จากอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น(พี/อี) ในปัจจุบันที่ควรไม่เกิดระดับ 10 เท่า เพราะเกินจากระดับนี้คงจะรับไม่ไหวยกเว้นแต่จะเป็นหุ้นที่สุดยอดจริง แต่ก็ไม่ควรเกินระดับ 30-40 เท่า
“ทุกวันนี้มีหุ้นที่สนใจอยู่ในเป้าหมายราว 20-30 บริษัท ซึ่งต้องรอให้สถานการณ์เริ่มนิ่งก่อนถึงจะทยอยเข้าไปเก็บ เนื่องจากตอนนี้นักลงทุนที่เข้ามาเก็งกำไรยังค่อนข้างเยอะและปัจจุบันก็ยังไม่อยากเข้าไปเพราะตลาดยังมีโอกาสตกแรงๆได้อยู่”

 

ดร นิเวศน์ กล่าวว่า ปัจจุบันหุ้นเดิมที่ซื้อไว้ก็ยังถืออยู่และยังมีเงินสดล็อตสุดท้ายที่ถือรอมานานไว้อยู่ประมาณ 5-6% ของพอร์ตหรือราวหลักหลายร้อยล้านบาท เพื่อเตรียมเข้าลงทุนช้อนซื้อหุ้นในช่วงที่สถานการณ์ตลาดหุ้นผ่านช่วงวิกฤติไปก่อน อย่างไรก็ตามประเมินว่าหากเริ่มทยอยซื้อหุ้นในรอบนี้คาดว่าราคาหุ้นจะเริ่มฟื้นตัวและได้ผลตอบแทนจากการลงทุนระยะยาวในช่วง 2-3 ปี

 

“ผมประเมินว่าวิกฤติครั้งนี้น่าร้ายแรงรองจากวิฤติต้มยำกุ้งปี 2540 ซึ่งครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งก่อนๆ เพราะไม่มีใครรู้ว่าการระบาดจะจบลงเมื่อไหร่ แต่คาดว่าการลงทุนระยะยาว 2-3 ปีน่าจะให้ผลตอบแทนที่เป็นบวกแน่นอน”

Cr:กรุงเทพธุรกิจ


คนเล่นหุ้น