สรุปหนังสือ You Can Be A Stock Market Genius
Joel Greenblattz ผู้บริหารกองทุน gotham ที่ทำผลตอบแทนเฉลี่ย 9 ปีได้ทบต้นปีละ 50% ( สูงที่สุดในโลก buffet20%ตลอด50ปี ปีเเตอร์ลินซ์ 29%13ปี ดร.นิเวศน์27.6%24ป๊)
หนังสือเล่มนี้นำเสนอแนวคิดที่ว่าเราสามารถทำกำไรได้จากสถานการณ์พิเศษต่างๆที่เกิดขึ้นได้ในตลาด พร้อมยกตัวอย่างให้เห็นภาพอย่างชัดเจน
โดยแนวคิดที่ว่าแบ่งเป็น
- การ spinoff บางส่วน แผนก ธุรกิจ ออกจากบริษัทเดิม
จากการศึกษาพบว่า หุ้นบริษัทที่ spinoff จะทำผลตอบแทนได้ดีกว่าบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกันประมาณ 10% ต่อปีในช่วง 3 ปีแรกที่ spinoff ออกมา แล้วบริษัทแม่เองก็ทำผลตอบแทนได้ +6% ในช่วง 3 ปีอีกด้วย
หากทฤษฎีนี้เป็นจริงเราสามมารถทำผลตอบแทนได้ +10%ไปอย่างน้อย 3 ปีเลย
------------------------------------------------
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น??
1. ธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกันเมื่อถูกแยกออกมา ตลาดจะรับรู้มูลค่าได้ดียิ่งขึ้น
2. บางครั้งการspinoff เป็นการแยกธุรกิจแย่ๆออกเพื่อให้เบาตัวและแสดงคุณค่าได้มากขึ้น
3. บางครั้งการspinoff จะเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจที่ขายได้ยาก
4. ช่วยแก้หรือลดระเบียบ กฏเกณท์ต่างๆ ( เหมือนจะคล้ายๆ SCBx นะ )
5. บริษัทที่ spinoff จะมีขนาดเล็กกว่าบริษัทแม่มาก ซึ่งทำให้กองทุนใหญ่ไม่สนใจหรือจำเป็นต้องขายทิ้ง ทำให้ช่วงแรกอาจจะ undervalue มากๆ ( เป็นโอกาสให้เข้าเก็บหุ้น)
6. เมื่อ spinoff ผบห มักมีไฟในการทำงาน ( อาจมีการจูงใจในแง่ stock option ผบหอยากเพิ่มมูลค่าหุ้น ) ทำให้ทำผลตอบแทนได้มากขึ้น และโตเร็วเนื่องจากบริษัทยังมีขนาดเล็ก
--------------------------
การspinoff บางส่วน
ในกรณีนี้เราจะได้ผลประโยชน์ถึง 2 เด้ง
1. หุ้น spinoff ทำผลงานได้ดี ( แบบเดียวกับที่สปินออฟ 100%)
2. เมื่อหุ้น spinoff perform ได้ดี ตลาดก็จะตีมูลค่าหุ้นที่ถูก spinoff และจะให้ PE ที่สูงขึ้น ทำให้สัดส่วนที่บริษัทแม่ถือมีมูลค่ามากขึ้นไปด้วย ( เช่น Jmart spinoff JMT เมื่อลูกดีตลาดก็จะให้มูลค่าแม่มากขึ้นด้วย )
------------------------------------------------
**การจับสัญญาณหุ้นจากคนใน
ถ้าคนในถือหุ้นมากก็มีโอกาสที่ราคาหุ้นจะเป็นไปในทางเดียวกัน
บางครั้งคนในอาจจะไม่อยากให้เราได้หุ้น เค้าอยากจะซื้อไว้เองเยอะๆ ถ้าเห็นแบบนี้ถือเป็นโอกาสของเรา
ในบางครั้งบริษัทอาจไม่ได้ให้หุ้น spinoff เราฟรีๆ แต่จะใช้วิธีให้สิทธิในการซื้อหุ้น (Right Offering)
------------------------------------------------
การ Arbitage ความเสี่ยง
คือการเข้าซื้อหุ้นหลังจากที่มีการประกาศดีลควบรวมกิจการ ( เหมือน DTAC+TRUE) โดยเราพยายามหากำไรจากความต่างของการแลกหุ้นนี้ ( ในที่นี้คือ 1 หุ้นเดิมใน TRUE ต่อ 2.40072 หุ้นในบริษัทใหม่ และ 1 หุ้นเดิมใน DTAC ต่อ 24.53775 หุ้นในบริษัทใหม่ // ทําคําเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ TRUE โดยสมัครใจแบบมีเงื่อนไขก่อนการทําคําเสนอซื้อในราคาเสนอซื้อหุ้นละ 5.09 บาท และทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ DTAC ในราคาเสนอซื้อหุ้นละ 47.76 บาท )
ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นคือ
1.ดีลไม่สำเร็จจากเหตุผลต่างๆ (ไม่ขอพูดถึง) ซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นตกลงอย่างหนัก
2.ความเสี่ยงจากจังหวะเวลา ซึ่งเราต้องนำเวลามาคำนวณเผื่อกับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นด้วย
------------------------------------------------
บริษัทล้มละลาย
จากการศึกษาพบว่าหุ้นบริษัทที่ผ่านการปรับโครงสร้างหลังการล้มละลายและกลับเข้าซื้อขายจะทำผลงานได้ดีกว่าตลาด 20%ในช่วง200วันแรกของการซื้อขาย
- ในระหว่างการปรับโครงสร้างของบริษัทที่ล้มละลายอาจจะเกิดโอกาสในการเข้าลงทุนที่ดีได้
- การลงทุนต้องอ่านเอกสารที่บริษัทยื่นต่อศาลล้มละลายกลางเสียก่อนเพื่อศึกษาข้อมูลและเหตุที่ทำให้บริษัทล้มละลาย
- ต้องเลือกบริษัทที่ดีๆตามแนวทางของบัฟเฟต์เท่านั้น ( แต่เค้าอาจผิดพลาดเช่น leverage มากเกินไป หรืออาจถูกฟ้องร้องจากความผิดพลาดต่างๆ )
- การมองหาหุ้นออกใหม่ที่เกิดจากการล้มละลาย ( เช่นการ spinoff บริษัทใดๆออกมาในระหว่างการปรับโครงสร้างอาจจะเป็นการลงทุนที่ดีมากๆได้ )
- หลังการปรับโครงสร้างหนี้ บริษัทอาจจะเผยโฉมมูลค่ามหาศาลได้
- ให้พยายามหาสถานการณ์ที่มี downside risk จำกัด และผู้บริหารที่มีแรงจูงใจสูง
- ต้องแน่ใจว่าการปรับโครงสร้างจะสำเร็จและเปลี่ยนแปลงบริษัทได้
------------------------------------------------
การขายหุ้น :รู้ว่าเมื่อไหร่จะถือ เมื่อไหร่จะทิ้ง
การซื้อหุ้นนั้นเราจะซื้อเมื่อราคาค่อนข้างถูก หรือ downsideจำกัด ซื้อเมื่อรู้ว่าคนในของบริษัทมีแรงจูงใจบางอย่าง ซื้อเมื่อเราได้เปรียบ ซื้อในเวลาที่ไม่มีใครอยากซื้อ
แต่การขายนั้นยากกว่านั้นมาก เราได้ให้เกร็ดในการตัดสินใจจะขายไว้ดังนี้
1. ขายเมื่อเหตุการณ์ที่เราคาดหวังได้ผ่านไปแล้ว ตลาดได้รับรู้มูลค่านั้นแล้ว เมื่อนั้นความได้เปรียบของเราก็จะลดลงอย่างมาก โดยจุดทริกอาจจะเป็นจุดที่ราคาเพิ่มขึ้นอย่างมาก
2. ให้ "เทรดหุ้นแย่ แต่ลงทุนในหุ้นดี" เช่นหากเราซื้อหุ้นที่ลดราคา ต้องอธิบายได้ว่ากำลังซื้อบริษัทแบบไหน (เกิดเหตุการณ์พิเศษ บริษัทแย่ชั่วคราว) หากเหตุการณ์นั้นผ่านไป เราต้องพิจารณาขายหุ้น
3.หากบริษัทที่ซื้อเป็นบริษัทที่ดี มีอนาคต หรือเป็นตลาดเฉพาะทาง จงเลือกลงทุนยาว
------------------------------------------------
การปรับโครงสร้างองค์กร
ในที่นี้หมายถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เช่นการขายหรือปิดตัวบางส่วนงานที่มีขนาดใหญ่ มีผลกระทบมาก การหยุดการขาดทุน การมุ่งโฟกัสไปที่ส่วนธุรกิจที่แข็งแกร่ง
การทำเช่นนี้จะทำให้กำไรรวมของบริษัทเพิ่มขึ้นมากและมีการเติบโตแบบก้าวกระโดด
มี 2 วิธีในการเข้าลงทุนในบริษัทที่มีการปรับโครงสร้าง
1. เข้าลงทุนหลังการประกาศปรับโครงสร้างแล้ว โดยมากกำไรมหาศาลจะเกิดขึ้นหลังจากมีการประกาศปรับโครงสร้าง ยิ่งบริษัทที่มี market cap น้อยๆ โอกาสการโตมากๆจะยิ่งมีมาก
2.ลงทุนในบริษัทที่ใกล้จะปรับโครงสร้างเต็มที่ ซึ่งโดยปกติจะยากและได้ผลตอบแทนน้อยกว่าแบบแรก
Leaps (สัญญาoption ระยะยาว ) ,Warrants (จะมีเนื้อหาเรื่อง ตอหุ้น-sub stock ด้วยซึ่งผมเข้าใจว่าในไทยไม่มี )
"แทบจะไม่มีเขตแดนไหนในตลาดหุ้นอีกแล้ว ที่จะให้ผลตอบแทนรวดเร็วและอู้ฟู่ขนาดนี้"
call คือสิทธิในการซื้อหุ้น ณ ราคาหนึ่ง ในช่วงเวลาหนึ่ง เช่น call ซื้อหุ้น IBM ณ ราคา 140 เหรียญ ในเดือนมิถุนายน ถ้าวันหมดอายุ IBMราคา148เหรียญ call ก็จะมีค่า 8 เหรียญ
แต่หากเดือนนี้เพิ่งจะเดือนเมษายน call จะมีค่ามากกว่า 8 เหรียญ ซึ่งจะเป็นค่า 8+อัตราดอกเบี้ยของ140เหรียญใน2เดือน +ค่าคุ้มครองความเสี่ยงที่หากหุ้นตกเกินกว่า140เหรียญ (เพราะหากราคาibm ในวันใช้สิทธิต่ำกว่า140เหรียญเราไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่ม ผิดกับหุ้นสามาญที่เราต้องจ่ายส่วนต่างอย่างไม่จำกัดเมื่อเทียบกับราคา 140 )
เราอาจกล่าวได้ว่าการซื้อ call คือการกู้เงินมาซื้อหุ้นโดยมีการคุ้มครองอยู่ ราคาของ callได้รวมเอาต้นทุนการกู็ยืมและต้นทุนค่าคุ้มครองไว้แล้ว
- จุดดีที่สุดของทั้ง call และ warrant คือหากเสียหายเราจะเสียหายมากที่สุดเท่ากับราคาสัญญานั้นๆ แต่หากกำไรเราสามารถทำกำไรหลายๆเท่าได้
- หลักการในการลงทุน call/warrant คือ ให้หาหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่มีความน่าสนใจในตัวเอง หรือหุ้นในสถานการณ์พิเศษต่างๆ และเปรียบเทียบระดับความเสี่ยง/ผลตอบแทนของหุ้นนั้นๆเมื่อใช้call/warrant
- หากเราพบ call/warrant ที่มีความเสี่ยงต่ำ/ผลตอบแทนสูงแล้ว เราจะสามารถทำกำไรได้มากกว่าหุ้นสามัญหลายเท่าตัว
- อย่าลืมคำนึงถึงความเสี่ยงเรื่องเวลา และวันหมดอายุด้วย