ห้องเม่าปีกเหล็ก

3 หุ้นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ตัวท็อป

โดย dave
เผยแพร่ :
78 views

3 หุ้นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ตัวท็อป กับผลงานที่โดดเด่นในครึ่งปีหลัง

การระบาดของ โควิด-19 สงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐอเมริกา และภาพรวมเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ถือเป็นปัจจัยกดดันหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์อย่างมาก แต่จากการสำรวจข้อมูลพบว่าในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา  3 หุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปสูงสุด ณ วันที่ 27 ส.ค.63 คือ DELTA, KCE และ HANA มีราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น โดยจะมีปัจจัยอะไรบ้างที่จะสนับสนุนหุ้นทั้ง 3 หลักทรัพย์นี้ Wealthy Thai หาคำตอบมาให้นักลงทุนแล้ว


ล่าสุดมีประเด็นบวกกับกระแส 5G ซึ่งเริ่มในครึ่งหลังของปี 63 ในทุกด้านที่เกี่ยวข้อง ทั้ง gaming notebook, PC, smartphone และ รถยนต์ไฟฟ้า โดยบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)  เป็นเจ้าภาพจัด Webinar ระหว่างทีมนักวิเคราะห์ KGI ไต้หวัน และผู้จัดการกองทุนในประเทศไทย เพื่อฉายภาพแนวโน้มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์


ซึ่งทีมนักวิเคราะห์ของ KGI ไต้หวันยังมองบวกกับกระแส 5G โดยเริ่มในครึ่งหลังของปี 63 ในทุกด้านที่เกี่ยวข้อง ทั้ง gaming notebook, PC, smartphone และ รถยนต์ไฟฟ้า ความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างจีนและสหรัฐอาจส่งผลกระทบกับการดำเนินงานของ Huawei ในระยะกลาง แต่ไม่น่าจะถึงกับทำให้กระแส 5G หายไป ในขณะที่นักวิเคราะห์ KGI ไต้หวันยังคงชอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสายโซ่อุปทานของ Apple มากกว่า


ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ของไทยอยู่ในสายโซ่อุปทาน บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)  จึงคาดว่าจะได้อานิสงส์จากกระแสนี้ โดยยังคงให้น้ำหนักหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ของไทยที่ Neutral ซึ่งชอบ DELTA และ HANA เนื่องจากสัมพันธ์กับกระแสโลกมากที่สุด ในขณะที่ KCE ก็มีปัจจัยเฉพาะตัวจากการฟื้นตัวของผลประกอบการ หลังจากที่อุตสาหกรรมยานยนต์ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 2/63


ส่วนความเสี่ยง ภัยธรรมชาติ มีการปิดโรงงานนอกแผน ลูกค้าเปลี่ยนไปสั่งสินค้าจาก supplier รายอื่น การจัดส่งสินค้าล่าช้า ขาดแคลนวัตถุดิบ และเงินบาทแข็งค่าขึ้น


เริ่มจาก DELTA ณ วันที่ 27 ส.ค.63 มีมาร์เก็ตแคปสูงสุดเป็นอันดับ 1 ของกลุ่ม ด้วยมูลค่า 145,943.65 ล้านบาท โดยไตรมาส 2/63 มีกำไรสุทธิสูงถึงระดับ 2,021.51 ล้านบาท เติบโตอย่างโดดเด่นที่ 132% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนรับผลผลจากทั้งยอดขายและอัตรากำไรที่ปรับเพิ่มขึ้นทุกสายการผลิต


ขณะที่ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 28 พ.ค.-27 ส.ค. 63 พบว่า ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นสูงถึง 99.15% ล่าสุดมีมุมมองต่อทิศทางผลประกอบการตั้งแต่ครึ่งหลังปี 2563 ถึงปี 2564 ที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง อ้างอิงจาก นักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัดที่ระบุว่า แนะนำให้ “ซื้อ” โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 121.5 บาท ซึ่งได้ปัจจัยหนุนจากงานประเภท Data Center, 5G และสินค้า IoT


ทั้งนี้การประชุมนักวิเคราะห์ของ DELTA โดยได้มีการรายงานความคืบหน้าของการซื้อกิจการ Eltek AU และแผนการเพิ่มมูลค่าของ DELTA Thailand และคาดอัตรากำไรที่ 23 – 25% โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1.อัตรากำไรในช่วง ไตรมาส 2/63 ดีกว่าในช่วงไตรมาส 1/63 มาก หนุนโดย 1) ต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง 2) ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง และ 3) สัดส่วนสินค้าของกลุ่ม Data Center ที่เพิ่มขึ้น


2.ผลประกอบการที่จะเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังปี 63 จะหนุนโดย 1) สัดส่วนสินค้าประเภทระบบเครือข่ายที่เพิ่มขึ้น 2) อัตราส่วนของกำไรงาน DC Fan ที่เปลี่ยนไปจากกำลังการผลิตรถยนต์ที่ลดลงจาก 60% เป็น 40% และ 3) ตัวจ่ายพลังงานของรถยนต์ Hybrid (PHEV) ซึ่งเลื่อนมาจากปี 2019 หนุนโดยการกระตุ้นเศรษฐกิจของ EU


3.สัดส่วนของงาน Data Center ที่ลดลงหลังจากที่ลูกค้าส่วนใหญ่มีการสั่งสินค้าไปแล้วในครึ่งปีแรก 4.การย้ายห่วงโซ่อุปทานออกจากจีนเป็นปัจจัยหนุนการดำเนินงานของบริษัท 5.การมาของอุปกรณ์ IoT ทำให้งานประเภท ODM เพิ่มขึ้นจากการเติบโตของเทคโนโลยี 5G และการเข้ามาของอุปกรณ์ใหม่ๆ และ 6.เรามีมุมมองเชิงบวกต่อการซื้อกิจการของ Eltek AU ซึ่งจะช่วย 1) การแข่งขันที่ลดลง 2) เป็นโอกาสที่ Delta จะเข้ามาทำตลาดในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ที่มีอัตรากำไรสูง


ด้านนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ระบุว่า แนวโน้มที่สดใสของ DELTA หนุนให้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรหลักขึ้น7% มาอยู่ที่ 5.7 พันล้านบาทสำหรับปี 63 และ 10% มาอยู่ที่ 6.2 พันล้านบาทสำหรับ 64 ขณะที่กำไรสุทธิปี 63 คาดอยู่ที่ 5.89 พันล้านบาท เติบโตจากปี 62 ที่มีกำไรสุทธิเพียง 2.96 พันล้านบาท ส่วนปี 64 คาดมีกำไรสุทธิ 6.18 พันล้านบาท


โดยมาจากการปรับสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นที่ขยายตัว (จาก 23.8% มาอยู่ที่ 24.4% ในปี 2563 และจาก 23.6% มาอยู่ที่24.4% ในปี 2564) ดังนั้นจึงปรับราคาเป้าหมายขึ้นจาก 99 บาท มาอยู่ที่ 109 บาท เป้าหมายอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทอยู่ที่ 25% และอัตรากำไรของการดำเนินงานที่ 10% ในปี 63 ภายใต้สถานการณ์ที่ดีของเรา หาก DELTA บรรลุเป้าหมายอัตรากำไรขั้นต้นที่ 25% อาจเป็นอัพไซต์ต่อประมาณการกำไรหลักของเราอีก 6-7%


ตามด้วย KCE ณ วันที่ 27 ส.ค.63 มีมาร์เก็ตแคปสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของกลุ่ม ด้วยมูลค่า 35,183.81 ล้านบาท โดยไตรมาส 2/63 มีกำไรสุทธิลดลงเหลือ 71.35 ล้านบาท ลดลง 55% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากวิกฤติเศรษฐกิจที่กระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ จากการระบาดของโควิด-19 และมาตรการปิดประเทศ (Lock down) ในหลายประเทศที่บริษัทมีการดำเนินธุรกิจอยู่ส่งผลให้คำสั่งซื้อลดลงอย่างรวดเร็ว 42% จากไตรมาสก่อน และลดลง 37% จากช่วงเดียวกันปีก่อน


แต่ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมาพบว่าราคาหุ้นเพิ่มขึ้นสูงถึงระดับ 55.44% ล่าสุดมีมุมมองต่อทิศทางกำไรที่ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และกำลังฟื้นตัวขึ้น สอดคล้องกับตัวเลขอุตสาหกรรม ทั้งยอดยอดรถยนต์ในจีน ยุโรป อ้างอิงจาก นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ที่ระบุว่า ยังคงคำแนะนำ ซื้อ KCE ปรับราคาเป้าหมายขึ้นจาก 31 บาทเป็น 33 บาท ด้วย 3 เหตุผลหลัก คือ


1.กำไรผ่านจุดต่ำสุดและกำลังฟื้นตัวขึ้น สอดคล้องกับตัวเลขอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขยอดขายรถยนต์ในจีน/US/ยุโรป, Global PMI มายืนเหนือ 50 ครั้งแรกในรอบ 5 เดือน ซึ่งกลุ่มยานยนตร์เป็นกลุ่มที่โตแรงที่สุด และเป็นการโตที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ พ.ย.2560 ในทางตรงกันข้ามหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์อื่นได้ผ่านจุด Peak ไปแล้วในช่วงไตรมาส 2/63,


2.อัพไซด์จากการปรับกำไรตั้งแต่ต้นปีเปิดกว้าง โดยตั้งแต่ต้นปีตลาดได้ปรับกำไร DELTA ขึ้นไปแล้ว 200% เทียบกับ KCE ที่ 35%, และ3. Valuation ปกติ KCE เทรดในระดับ PER เท่ากับ DELTA แต่ตอนนี้ KCE เทรดที่ PER 23 เท่า เทียบกับ DELTA ที่ 25 เท่า ในขณะที่สตอรี่ของการเทิร์นอะราวด์ และโอกาสของการปรับกำไรขึ้นน่าจะทำให้ KCE เทรดอยู่บนระดับ Premium ด้วยซ้ำ


และสุดท้าย HANA ณ วันที่ 27 ส.ค.63 มีมาร์เก็ตแคปสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของกลุ่ม ด้วยมูลค่า 32,597.59 ล้านบาท โดยไตรมาส 2/63 มีกำไรสุทธิ 682.30 ล้านบาท เติบโต 27% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรับผลบวกจากกำไรจากการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 207 ล้านบาท


ขณะที่ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมาพบว่าราคาหุ้นเพิ่มขึ้นสูงถึงระดับ 36.13% ล่าสุดมีมุมมองคำสั่งซื้อกลับมาฟื้นในครึ่งปีหลังของปี 2563 ซึ่งช่วยหนุนกำไรฟื้นตัวต่อ โดยคำสั่งซื้อของลูกค้าในเยอรมนีฟื้นตัวแรงตั้งแต่ มิ.ย. +28% จากเดือนก่อนหน้า ภายใต้มุมมองของนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน)


พร้อมทั้งยังระบุอีกว่า มีมุมมองเป็นบวกต่อการฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังปี 2563 โดยมีปัจจัยหนุนจาก 1) คาดโรงงานจีนที่ฟื้นตัวเร็วกว่าคาด ซึ่งในไตรมาส 2/63 ยังจะทรงตัวถึงปรับขึ้นต่อในไตรมาส 3/63 2) คำสั่งซื้อของลูกค้าในเยอรมนีฟื้นตัวแรงตั้งแต่ มิ.ย. +28% M-M ส่วนการฟื้นตัวของประเทศอื่นในยุโรปยังไม่ชัดเจน


3) บริษัทเห็นคำสั่งซื้อโดยรวมปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ปลายไตรมาส 3/63 และต่อเนื่องไปในไตรมาส 4/63 โดยเป็นการฟื้นทั้งในกลุ่มสินค้า Smartphone, Consumer Electronics และ Automotive แม้สถานการณ์ค่าเงินบาทไตรมาส 3/63 อาจไม่เอื้อต่อธุรกิจเหมือนในไตรมาส 2/63 โดยค่าเงินบาทเฉลี่ยต้นไตรมาส 3 ถึงปัจจุบัน (3QTD = 31.33 บาท/USD) แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยไตรมาส 2/63 = 31.96 บาท/USD


แต่ด้วยรายได้ที่ฟื้นตัว จึงคาดกำไรจะเติบโตต่อเนื่องในไตรมาส 3/63 และ 4/63 ส่วนโรงงานกัมพูชาที่สูญเสียลูกค้ารายใหญ่ไป (ผลิต Remote Control) เพราะได้รับผลกระทบ COVID-19 มองถูกกระทบจำกัด เนื่องจากโรงงานกัมพูชามีสัดส่วนรายได้เพียง 1% ของรายได้รวม แม้อาจทำให้จุดคุ้มทุนถูกเลื่อนออกไปจากปีนี้ แต่เชื่อว่าน่าจะได้เห็นในปีหน้า เพราะล่าสุดได้ลูกค้ารายใหม่เข้ามาแทนแล้ว และจะเริ่มผลิตตั้งแต่ไตรมาส 4/63 เป็นต้นไป


แม้จะเริ่มเห็นการฟื้นตัวของคำสั่งซื้อ แต่ผู้บริหารยังกังวลต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลก จากทั้งสถานการณ์ COVID-19 ที่ยังไม่หายไปจนกว่าจนมีวัคซีน กอปรกับ Trade Deal ระหว่างสหรัฐและจีนที่ยังยืดเยื้อต่อไป แม้จะผ่านพ้นการเลือกตั้งของสหรัฐในช่วงเดือน พ.ย. ไปแล้วก็ตาม ทำให้ผู้บริหารมองว่าการฟื้นตัวของกำลังซื้อจะไม่เป็น V-shape แต่น่าจะทยอยฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่วนปัญหาระหว่างสหรัฐและจีน ผู้บริหารมองว่าบริษัทน่าจะได้ประโยชน์ในระยะถัดไป เพราะมีการ Diversified โรงงานไปหลายแห่ง ปัจจุบันมีทั้งโรงงานไทย (ลำพูน, อยุธยา), จีน (เจียซิง), กัมพูชา (เกาะกง) และสหรัฐ (โอไฮโอ) จึงน่าจะรองรับความต้องการของลูกค้าได้


“เรามองเป็นบวกต่อมุมมองที่ Conservative ของผู้บริหาร เพราะทำให้บริษัทวางแผนกลยุทธ์อย่างรัดกุม ไม่ประมาท ทั้งการเน้นควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง รวมถึงแผนการลงทุนที่เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต มากกว่าที่จะขยายกำลังการผลิต โดยการลงทุนในปีนี้ราว 916 ล้านบาท (เพิ่มจาก 638 ล้านบาท) เป็นการลงทุนในส่วนที่เลื่อนออกมาจากปีก่อน และสะท้อนถึงการฟื้นตัวของธุรกิจด้วย อย่างไรก็ตาม ยังเป็นระดับการลงทุนที่ต่ำกว่าในอดีตซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 1,500 - 2,000 ล้านบาท เพื่อรักษาสภาพคล่องไว้”บล.ฟินันเซีย ฯ ระบุ


ขณะที่ประเด็นที่สหรัฐแบน Huawei นั้น นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) มองกระทบต่อ HANA จำกัด เพราะ 1) บริษัทมีลูกค้าในจีนหลายราย โดยลูกค้าของบริษัทเป็น Supplier ให้กับผู้ประกอบการมือถือหลายราย ไม่เพียงแต่ Huawei เท่านั้น ในขณะที่ปัจจุบันลูกค้ามี Stock ราว 3-6 เดือน ดังนั้นกว่าจะได้เห็นว่า Huawei จะถูกกระทบมากน้อยขนาดไหนน่าจะเป็นปีหน้า


2) ตลาดหลักของ Huawei คือในจีน และคาดว่ารัฐบาลจีนน่าจะให้การสนับสนุนผู้ประกอบการสัญชาติจีนอยู่แล้ว จึงคาดผลกระทบน่าจะจำกัด 3) ในกรณี Worst Case หาก Huawei ถูกกระทบมากกว่าคาด ผู้บริหารยังเชื่อว่ามั่นว่า ผู้ประกอบการคู่แข่งรายอื่นจะพยายามแย่ง Marker Share ของ Huawei อยู่ดี ท้ายที่สุดคาดว่าบริษัทจะยังได้ประโยชน์จากกรณีดังกล่าว สำหรับประเด็นนี้เรามองว่าไม่น่ากังวลแต่อย่างใด ในขณะที่การเกิด 5G น่าจะช่วยหนุนกลุ่ม Telecom ของบริษัทให้กลับมาฟื้นตัวและเร่งตัวขึ้นในปีหน้า


ดังนั้นจึงปรับเพิ่มสมมติฐานรายได้ปี 63 ขึ้น 8.5% เป็น 588 ล้านเหรียญสหรัฐ (โดยรายได้ 1H20 คิดเป็น 49% ของสมมติฐานใหม่ของเรา) ส่วนรายได้ปี 64 คงไว้ตามเดิมที่ 660 ล้านเหรียญสหรัฐ (+12.2% จากปีก่อน) ถือว่ากลับมาเท่ากับที่เคยทำได้ในปี 62 และยังต่ำกว่าในปี 61 ถือว่าเป็นสมมติฐานที่ไม่ได้ Aggressive จนเกินไป และอิงค่าเงินบาทที่ 31.5 บาท/USD ตามเดิม


จึงปรับเพิ่มประมาณการกำไรปกติปี 63 ขึ้น 40% เป็น 1,930 ล้านบาท โต 28.5% จากปีก่อน (โดยกำไรปกติ 1H63 คิดเป็น 51% ของประมาณการทั้งปี) และปรับเพิ่มกำไรปี 64 ขึ้น 9% เป็น 2,253 ล้านบาท (+16.7% จากปีก่อน) และปรับใช้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2021 ที่ 48 บาท แนะนำ “ซื้อ”

 

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


dave