คลังคาดเที่ยวในประเทศกระตุ้นรายได้3%ของจีดีพี
คลังคาดมาตรการกระตุ้นเที่ยวในประเทศช่วยเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวได้3%ของจีดีพี เชื่อปีหน้าเศรษฐกิจฟื้นต่อเนื่อง
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า รัฐบาลมีความหวังว่า มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ จะสามารถเพิ่มรายได้จากการท่องเทึ่ยวได้ 3%ของจีดีพีในปีหน้า
เขากล่าวในะหว่างการเปิดงานsmart.money เมื่อวานนี้ว่า ภาคการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยเฉพาะการท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่ทำรายได้ให้ประเทศคิดเป็น 12%ของจีดีพี ขณะที่ คนไทยเที่ยวในประเทศ สร้างรายได้ประมาณ6%ของจีดีพี
"การท่องเที่ยวของคนไทยในประเทศนั้น มีส่วนสำคัญในการฟื้นเศรษฐกิจในปีหน้า ซึ่งคาดว่าคนไทยเที่ยวในประเทศในปีหน้าจะสร้างรายได้3%ของจีดีพีบวกกับมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นโครงการเที่ยวด้วยกันที่รัฐช่วยออกค่าใช้จ่ายในห้องพักและค่าเครื่องบินให้40% และรวมถึงโครงการของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ที่จะสนับสนุนผู้สูงอายุให้ท่องเที่ยวในวันธรรมดา เหล่านี้น่าจะช่วยเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวของคนไทยด้วยกันเองอีก3%ทำให้รายได้จากการท่องเที่ยวของคนไทยอยู่ที่6%"
ส่วนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศนั้น ทางกระทรวงการท่องเที่ยวประเมินว่า ในปีหน้าจะกลับเข้ามาได้ 1ใน5ของยอดปกติที่มีราว40ล้านคน ทั้งนี้ อยู่ที่ความพร้อมของประเทศนั้นๆด้วยว่าพร้อมเดิมทางแล้วหรือยัง
นอกจากนี้ เขายังกล่าวถึงมาตรการช่วยเหลือsmeว่า รัฐบาลมีมาตรการช่วยค้ำประกันเงินกู้ให้smesผ่านโครงการpgs9วงเงินค้ำประกันรวม 1.75แสนล้านบาท ซึ่งรัฐบาลได้เตรียมเงินงบประมาณไว้เชดเชยความเสียหายจากการเป็นหนี้เสีย 2.97หมื่นล้านบาท แต่ทั้งนี้จากข้อมูลในอดีตพบว่าจะมีsmeกลับเข้าสู่ภาวะปดติคือสามารถชำระหนี้ได้96%
เขากล่าวอีกว่า ในปีหน้านอกจากรัฐบาลจะหวังรายได้จากการท่องเที่ยวแล้ว การใช้จ่ายในประเทศ รัฐบาลก็คาดหวังว่าประชาชนจะช่วยกันใช้จ่ายผ่านมาตรการสนับสนุนของรัฐบาล คือโครงการคนละครึ่ง และช้อปดีมีคืน
เขาเชื่อว่า เศรษฐในปีหน้าจะสามารถฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่องจากปีนี้ ซึ่งเศรษฐกิจไทยต่ำสุดในไตรมาสที่สองของปีนี้ และในไตรมาสที่สามแม้จะยังติดลบหากเทียบกับปีที่แล้ว ทำให้ติดลบ 6.4%ซึ่งต่ำกว่าคาด แต่ที่สำคัญหากเทียบไตรมาสต่อไตรมาสแล้ว ไตรมาสที่สามบวก 6.5%จากไตรมาสที่สอง
เขากล่าวอีกว่า ในภาวะปกตินโยบายการเงินกับนโยบายการคลังต้องมีความสอดคล้องกัน เพื่อช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจ และยิ่งในภาวพวิกฤตเช่นนี้นโยบายการเงินและการคลังยิ่งต้องสอดประสานกัน
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก