
SET index แกว่งในกรอบล่างใกล้ 1,700 จุด เพิ่มเติมด้วยแรงขายทำกำไรในหุ้นที่ขึ้นไปเทรดแถวระดับ High ก่อนหน้านี้ แต่วอลุ่มเบาบางลง นักลงทุนยังรอลุ้นข่าวดีผลประกอบการในไตรมาส 3/60 ของบริษัทจดทะเบียนที่จะเริ่มทยอยประกาศในสัปดาห์นี้ ประเดิมด้วยกลุ่มธนาคารพาณิชย์
เปิดสัปดาห์นี้ หุ้นฮ็อตติดชาร์ตวอลุ่มคึกหลายตัวยังอยู่ในกลุ่มพลังงาน มุ่งไปที่ผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน พร้อมกับข้อสงสัยถึงสตอรี่ที่คอยขับเคลื่อนเซนติเมนต์หุ้นกลุ่มนี้
Money Channel สอบถามคุณนลินรัตน์ กิตติกำพลรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เอเซียพลัส บอกถึงสาเหตุที่ราคาหุ้นกลุ่มพลังงานทดแทนปรับตัวเพิ่มขึ้นกันถ้วนหน้าต่อเนื่องจากปลายสัปดาห์ก่อน เชื่อว่าเป็นเพราะการหันมาให้ความสำคัญในหุ้นที่มีการเติบโตมั่นคงในระยะยาวมากขึ้น หลังภาพรวม SET index ปรับตัวขึ้นสูงแถวระดับ 1,700 จุด ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจทั้งในและนอกประเทศ มีทิศทางฟื้นตัวต่อเนื่อง ทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
นอกจากนั้น ยังมีปัจจัยสนับสนุนเซนติเมนต์จากกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดให้ยื่นข้อเสนอขายไฟฟ้าในแบบ SPP Hybrid Firm 300 MW ในระหว่างวันที่ 2–6 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งภายในวันที่ 9 พฤศจิกายน นี้ ทาง กกพ. จะประกาศรายชื่อผู้ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติและการประเมินข้อเสนอขายไฟฟ้าด้านเทคนิค และจะพิจารณาเปิดซองข้อเสนอขอขายไฟฟ้าด้านราคาภายในวันที่ 8 ธันวาคม ก่อนจะประกาศรายชื่อผู้ที่ได้รับคัดเลือกภายในวันที่ 14 ธันวาคม 2560
สำหรับผลประกอบการในไตรมาส 3/60 ของกลุ่มพลังงานทดแทน คุณนลินรัตน์คาดว่าจะดีกว่าในงวดไตรมาส 2/60 เนื่องจากได้ประโยชน์จากธุรกิจไฟฟ้าขาขึ้น หลังจาก กกพ. มีมติให้ปรับขึ้นค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (เอฟที) งวดเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2560 อีก 12.52 สตางค์/หน่วย ตามต้นทุนเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าที่สูงขึ้น และในเดือนกันยายน-ธันวาคม 2560 ปรับเพิ่มขึ้นจากงวดก่อน 8.87 สตางค์ต่อหน่วย
นอกจากนี้ ยังมีหลายบริษัทที่ทยอยรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นจากกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่ เช่น ในส่วนของ บมจ.บีซีพีจี (BCPG) ซึ่งมีการรับรู้รายได้จากโครงการพลังความร้อนใต้พิภพ (Salak, Darajat และ Wayang Windu) ในอินโดนีเซีย และจะรับรู้รายได้จากโครงการพลังงานลม (Nabas) ในฟิลิปปินส์เข้ามาเต็มไตรมาส
ส่วนผลประกอบการไตรมาส 3/60 ของ GUNKUL มองว่าจะมีรายได้กำลังการผลิตโรงไฟฟ้าพลังงานลมเข้ามาสูงตามปัจจัยฤดูกาล และไตรมาส 4/60 จะมีกำลังการผลิตเพิ่มเข้ามาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมเพิ่มเติมอีก 60 เมกะวัตต์ และน่าจะสามารถรับรู้รายได้เต็มปีในปีหน้า
ค่ายเอเซียพลัสยังคงเลือกหุ้นเด่นคือ BCPG และ GUNKUL พร้อมระบุกำลังอยู่ระหว่างทบทวนปัจจัยพื้นฐานใหม่ ซึ่งในเชิงการเติบโตโดดเด่น เลือก BCPG แม้ราคาหุ้นจะขึ้นร้อนแรง แต่เชื่อว่ามีโอกาสไปต่อได้อีก โดยในช่วงระยะสั้นแนะให้รอซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว ส่วนหุ้น GUNKUL มองเป็นหุ้น Laggard เมื่อเทียบกับกลุ่ม
แหล่งข่าวนักวิเคราะห์กลุ่มพลังงานทดแทน บอกกับ Money Channel ว่า การปรับตัวขึ้นของหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้าอย่างร้อนแรง และบางตัวราคาหุ้นก็เกินกว่ามูลค่าเหมาะสมไปแล้ว นั้น มองว่าเป็นแหล่งพักเงินอย่างดี เพราะมีปัจจัยพื้นฐานรองรับการเติบโตในระยะยาว 4-5 ปี ทำให้นักลงทุนยอมให้พรีเมี่ยม เทรดบน P/E สูงๆ ขณะที่ราคาน้ำมันเริ่มฟื้น หนุนมุมมองว่าค่าเอฟทีได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว และกำลังเข้าสู่ขาขึ้นชัดเจน นอกจากนั้น หุ้นพลังงานทดแทนหลายบริษัท มี Performance ผลการดำเนินงานที่เป็นไปตามเป้า ทำให้กระแสเงินลงทุนเวียนมาพักในหุ้นกลุ่มนี้
ด้าน บล.ทิสโก้ อยู่ระหว่างการปรับประมาณการ BCPG ราคาเหมาะสมเดิม 17 บาท กับประเด็นสำคัญคือการเตรียมรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าความร้อนใต้พิภพที่อินโดนีเซีย (กำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 158 MW) ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนผลประกอบการ และสัดส่วนถือครองหุ้นในกำลังผลิตไฟฟ้าในมือ (PPA)เพิ่มขึ้นเป็น 332 MW จากเดิมที่อยู่ 174 MW ในช่วงไตรมาส 2/60 ส่วนค่าเอฟทีที่เพิ่มขึ้นช่วงไตรมาส 3/60 ต่อเนื่องถึงในช่วงไตรมาส 4/60 จะเป็นปัจจัยบวกต่อโซลาฟาร์มขนาด 118 MW
นักวิเคราะห์มองอัพไซด์ในปี 2562 มาจากโครงการในญี่ปุ่น และ อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าคาด ขณะยอดการเข้าซื้อของ NVDR ที่สูงในเดือน ก.ย. สะท้อนว่าหุ้นได้รับความนิยมจากต่างชาติ
ส่วน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มีมุมมองบวกใน หุ้น BGRIM ราคาเหมาะสมที่ 25 บาท เหตุผลสนับสนุนอันดับแรกคือแนวโน้มกำไรของ BGRIM ในครึ่งปีหลังจะเติบโต อันเป็นผลจากการปรับค่าเอฟที ส่งผลบวกต่อกำไรของโรงไฟฟ้าโดยตรง (ทุก 10 สตางค์ที่ปรับค่าเอฟทีขึ้น ส่งผลบวกต่อกำไรปีละ 600-700 ล้านบาท) นักวิเคราะห์คาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 3/60 อยู่ที่ 847 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 101% Q/Q และเพิ่มขึ้น 82% Y/Y เติบโตโดดเด่นจากผลบวกค่าเอฟที ค่าใช้จ่ายทางการเงินที่ลดลง และการแข็งค่าของเงินบาทกว่า 1 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ BGRIM สามารถบันทึกกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนได้กว่า 358 ล้านบาท
ปัจจุบัน บริษัทฯ มีกำลังการผลิตที่เริ่มจำหน่ายเชิงพาณิชย์ (COD) แล้วจำนวนทั้งสิ้น 1,660.9 MW (คิดเป็นสัดส่วนการถือหุ้นที่ 1,050.7 MW) ขณะที่มีแผนขยายกำลังการผลิตอีก 1,270 MW แบ่งเป็น SPP Cogen ในนิคมอุตสาหกรรมจำนวน 1,089 MW และโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน 181 MW (โซลาร์ฟาร์มและโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ) ซึ่งจะทยอย COD ในอีก 5-6 ปีข้างหน้า หนุนกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นกว่า 59% จากระดับปัจจุบัน
โบรกเกอร์ค่ายหยวนต้ามอง BGRIM เป็นหนึ่งในหุ้นโรงไฟฟ้าที่ยังมีผลประกอบการเป็นทิศทางขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจัยผลักดันหลักคือการขยายกำลังการผลิตของโรงไฟฟ้า หนุนการเติบโตของกำไรอย่างก้าวกระโดด โดยคาดกำไรปกติ (ไม่รวมผลบวกจากกำไรอัตราแลกเปลี่ยน) ในปีนี้ที่ 1,639 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62.1% Y/Y และจะโตขึ้นกว่าเท่าตัวเป็น 3.6 พันล้านบาทได้ในปี 2567 คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยทบต้น (CAGR) ระหว่างปี 2559-2567 ที่ 17.1% ต่อปี
สำหรับความเห็น บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) นักวิเคราะห์มองบวก BGRIM โดยเชื่อว่าเป้าหมายการขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 45% ในปี 2559-64 จะเป็นปัจจัยหลักในการเติบโตของกำไรในระยะยาว พร้อมให้ราคาเป้าหมาย 30.50 บาท