ส่องแนวโน้มธุรกิจ
8 บริษัทพลังงานชั้นนำ ในตลาดหุ้นไทย
.
Wealthy Thai ได้รวบรวมแนวโน้มธุรกิจของ 8 บริษัทพลังงานชั้นนำในตลาดหุ้นไทย มาฝากนักลงทุน ไม่ว่าจะเป็น PTT, SCC, PTTGC, TOP, IRPC, BCP, BANPU และIVL ซึ่งในแต่ละบริษัทจะมีความน่าสนใจแค่ไหน บทความนี้มีคำตอบแล้ว
.
PTT ปีนี้กำไรแสนล้าน
เริ่มที่พี่ใหญ่อย่าง PTT นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) คาดกำไรปกติไตรมาส 2/66 ราว 22,568 ล้านบาท ลดลง 60%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 7%จากไตรมาสแรก
.
ทั้งนี้การลดลงมากจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยธุรกิจก๊าซฯ ลดลงตามส่วนของ TM ที่ค่าท่อฯลดลง และ GSP อัตรากำไรลดลงตามราคาอ้างอิงฯ, ธุรกิจ E&P อัตรากำไรลดลงตามราคาน้ำมันดิบ, ธุรกิจ P&R ค่าการกลั่นลดลง (ไม่มีsupply ตึงตัว จากสงครามฯเหมือนไตรมาส 2/65) ปิโตรเคมีspread ลดลงจากกำลังการผลิตใหม่ ส่งให้เกิด oversupply และ ธุรกิจoil ไม่มีstock gain ก้อนใหญ่
.
อย่างไรก็ตาม คาดทั้งปี 66 มีกำไรสุทธิ 110,073 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อน คงแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 46 บาท มอง PTT สามารถซื้อลงทุนระยะยาวได้ โดยคาดกำไรปกติฟื้นตัวในครึ่งหลังปี 66 ทั้งช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากครึ่งปีแรก ตามอัตรากำไรที่ฟื้นของธุรกิจก๊าซฯ ที่คาดต้นทุนก๊าซฯลดลง, ธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีฟื้นตัว จาก stock loss ที่ลดลง และ oversupply ที่ลดลง ตามลำดับ
.
SCC ปีนี้กำไรพุ่ง 100%
ถัดมา SCC นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์พาย จำกัด (มหาชน) ประเมินปัจจัยรบกวนด้านอุปทานยังดํารงอยู่ เพราะกลุ่มโรงแคร็กเกอร์เดิมจะเพิ่มอัตราการดําเนินงานขึ้น บวกกับกําลังการผลิตใหม่ที่จะไหลเข้ามาต่อเนื่องในปี 66
.
นอกจากนี้การชะลอตัวทางเศรษฐกิจ จากสภาวะถดถอยและปัญหากลุ่มธนาคารของโลกก็คาดว่าจะฉุดภาพรวมกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีลงในช่วงครึ่งหลังของปี 66 โดยคาดปี 66 มีกำไรสุทธิ 42,808 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 100%จากปีก่อน ซึ่งไตรมาส 1/66 บันทึกกําไรพิเศษครั้งเดียว 1.20 หมื่นล้านบาทจากการปรับมูลค่ายุติธรรมสําหรับรายการลงทุนของ SCG Logistics หลังจากปิดดีลควบรวม SCGJWD
.
อย่างไรก็ตามมองบวกมากขึ้นต่อภาพรวมปี 67-68 เพราะอุปทานส่วนเกิน 5 ปีจะสิ้นสุดลง ขณะที่การเติบโตของเศรษฐกิจโลก หลังผลกระทบจากสภาวะถดถอยผ่อนคลายลงก็จะช่วยฟื้นฟูส่วนต่างราคาปิโตรเคมีขึ้นได้ นอกจากนี้การเริ่มเดินเครื่องโรงงานโพลีเมอร์ LSP แห่งใหม่ในเวียดนาม (1.4 ล้านตันต่อปี) จะเพิ่มกําลังการผลิตโพลีโอเลฟินส์ของ SCC ขึ้น 60% คงคําแนะนํา "ถือ" มูลค่าพื้นฐาน 341 บาท
.
ส่วนนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) คงมุมมองกำไรปกติไตรมาส 2/66 ฟื้นต่อจากไตรมาสแรก เพราะ ธุรกิจซีเมนต์อัตรากำไรฟื้นตามการปรับขึ้นราคาขาย และต้นทุนลดลง กลบปริมาณขายที่ลดลงตามฤดูกาล และ ธุรกิจบรรจุภัณฑ์คาดปริมาณขาย และอัตรากำไรฟื้นต่อเนื่อง ตามความต้องการใช้ในจีน จึงแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 380 บาท
.
PTTGC กำไรฟื้นตัว
ต่อมา PTTGC นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด มีความเห็นว่า ทิศทางผลการดำเนินงานปกติไตรมาส 2/66 คาดเห็นการฟื้นตัวจากไตรมาสแรก แต่จะยังไม่โดดเด่น เพราะมีธุรกิจโรงกลั่นที่ค่าการกลั่นลดลงแรงคอยกดดัน แม้ทิศทางธุรกิจปิโตรเคมีโดยรวมจะดีขึ้น แต่เป็นการค่อยๆฟื้นตัว ไม่สามารถชดเชยโรงกลั่นที่ย่ำแย่ได้ในไตรมาส 2/66
ทั้งนี้แนะนำ ถือ ราคาเป้าหมาย 48 บาทต่อหุ้น โดยให้น้ำหนักกำไรอยู่ ในช่วงครึ่งหลังปี 66 ที่สถานการณ์จะฟื้นตัวกลับสู่ภาวะปกติ รอรับผลบวกหลักจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจของจีนซึ่งเป็นผู้บริโภคปิโตรเลียมและปิโตรเคมีหลักที่จะทยอยเพิ่มขึ้น โดยประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 ที่ 9,196 ล้านบาทเทียบปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ
.
TOP ปีนี้ไม่มีกำไรพิเศษขาย GPSC
TOP นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 60 บาท จากมูลค่าหุ้นไม่แพง โดยไตรมาส 2/66 คาดค่าการกลั่นจะอ่อนแอลงจากไตรมาสแรก และช่วงเดียวกันของปีก่อน กดดันจากอุปสงค์ผ่านช่วงฤดู หนาวของยุโรปมาแล้ว
.
รวมทั้งความต้องการใช้ได้รับ Sentiment ลบจากความกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอตัวโดยเฉพาะสหรัฐฯ -ยุโรป, อุปทานจากรัสเซียเข้าสู่ตลาด, โควต้าการส่งออกน้ำมันจากจีนเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ Crack Spread น้ำมันสำเร็จรูปทุกชนิดเกิดการปรับฐาน (ยกเว้นน้ำมันเตากำมะถันสูง)
.
ดังนั้นคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 ที่ 1.3 หมื่นล้านบาท ลดลง 59%จากปีก่อนตามการ Normalized ของค่าการกลั่นจากระดับสูงผิดปกติในปีก่อน และไม่มีกำไรพิเศษจากการจำหน่ายหุ้น GPSC 1.7 หมื่นล้านบาท
.
IRPC ปีนี้พลิกมีกำไร
IRPC นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 ที่ 3 พันล้านบาท พลิกจากขาดทุน 4.4 พันล้านบาทในปีก่อน อย่างไรก็ตามไตรมาส 1/66 คิดเป็น 10% ของคาดการณ์ทั้งปีทำให้ประมาณการช่วงที่เหลือของปียังมีความท้าทาย
.
ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/66 ไม่เด่น คาดลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และอัตรากำไรธุรกิจหลัก (Market GIM) ยังมีความท้าทายเทียบกับต้นทุนรวม เนื่องจากอัตรากำไรของปิโตรเคมีหลักอย่าง PP ABS ยังฟื้นตัวได้ช้า
.
ส่วนอัตรากำไรจากธุรกิจโรงกลั่น – น้ำมันหล่อลื่นมีแนวโน้มลดลงจากไตรมาสแรก ตามการปรับฐานของ Crack Spread น้ำมันดีเซล หลังผ่านช่วงฤดูหนาวของยุโรป, ความต้องการใช้ได้รับ Sentiment ลบจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวโดยเฉพาะ ภูมิภาคตะวันตก, อุปทานจากรัสเซีย –จีนเข้าสู่ตลาดมากขึ้น จึงแนะนำ TRADING ราคาเป้าหมาย 2.90 บาท
.
BCP มูลค่าหุ้นไม่แพง
BCP นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) คําแนะนํา "ซื้อ" BCP มูลค่าพื้นฐาน 42 บาท คาดว่ากําไรไตร มาส 2/66 จะย่อตัวชั่วคราวหลังธุรกิจโรงกลั่นมีผลงานอ่อนแอ แต่ภาพรวมในครึ่งหลังปี 66 ยังแข็งแกร่งหนุนจากค่าการกลั่นที่ฟื้นตัว การขยายธุรกิจโรงไฟฟ้าผ่านการซื้อกิจการใหม่ในสหรัฐฯ และส่วนแบ่งธุรกิจค้าปลีกนํามันที่ปรับดีขึ้นจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น โดยคาดปี 66 มีกำไรสุทธิ 7,655 ล้านบาท ลดลง 39% จากปีก่อน
.
โดยเลือก BCP เป็นหนึ่งในหุ้นเด่นในกลุ่มพลังงานเพราะ 1.มีภาพรวมด้านกําไรที่ยืดหยุ่นมากกว่าผู้ประกอบการโรงกลั่นรายอื่น เพราะพอร์ตกิจการที่หลากหลาย 2.กําไรต่อหุ้น (EPS) ที่จะเร่งตัวขึ้นจากการเข้าซื้อ ESSO ที่คาดว่าจะปิดดีลได้ภายในไตรมาส 3/66 จะมีupside ต่อมูลค่าพื้นฐาน 5.0-8.0 บาท/หุ้น และ 3. มูลค่าหุ้นที่ไม่แพงในระดับ O.7 เท่า PBV ปี 66 เทียบกับ 1.0 เท่า ของค่าเฉลี่ยกลุ่มโรงกลั่น
.
BANPU ระยะสั้นยังไม่มีปัจจัยบวก
BANPU นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ประเมินแนวโน้มกำไรไตรมาส 2-3/66 ไม่เด่น คาดลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน กดดันจากการปรับตัวลงของราคาขายเฉลี่ย (ASP) ตามทิศทางราคาพลังงานในตลาดโลก ขณะที่ราคาก๊าซ และถ่านหินช่วง 3 เดือนข้างหน้ามี Upside จำกัด เพราะอุปสงคช์ะลอลงตามฤดูกาล, เศรษฐกิจจีนเติบโตช้ากว่าคาด, ปริมาณสำรองในยุโรปอยู่ระดับสูง, ยุโรปอาจระบายอุปทานเข้าสู่ภูมิภาค
.
ดังนั้นคงคำแนะนำ TRADING ราคาเหมาะสมใหม่ 9 บาท แต่ระยะสั้นยังไม่มีปัจจัยบวก แนะนำรอจังหวะลงทุนช่วง Restocking ก่อนเข้าสู่ฤดูหนาวในไตรมาส 4/66 ประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 – 2567 ลดลงจากเดิม 52 – 55% เป็น 1.3 หมื่นล้านบาท ลดลง 68%จากปีก่อน และ 9.4 พันล้านบาท ลดลง 27%จากปีก่อนหน้า ตามลำดับ
.
IVL ปีนี้กำไรลดลง 41%
ปิดท้ายที่ IVL นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ประเมินกำไรไตรมาส 2 – 3/66 ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากฐานสูง เนื่องจากปีก่อน IVL ซึ่งเป็นผู้ผลิตในประเทศ (Local) ได้ประโยชน์จากปัญหาภาคการขนส่งทั้งระยะเวลา และค่าขนส่งระดับสูง ทำให้ผู้ใช้สินค้า เร่งเพิ่มปริมาณสินค้าคงคลัง และราคาขายสูงขึ้นตาม Import parity price คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 ที่ 1.8 หมื่นล้านบาท ลดลง 41% จากปีก่อน แนะนำ TRADING ราคาเป้าหมาย 36.00 บาท
