เป็นโอกาสสะสม 3 แบงก์ใหญ่!
เป้าหมายต่างชาติ รับผลตอบแทนพุ่งในไตรมาส 1

.
ช่วงต้นปีหรือไตรมาส 1 มักเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นสดใส เนื่องจากมีแรงซื้อในกลุ่มในนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างชาติเข้ามาเก็บสะสมหุ้น ทำให้ราคาหุ้นในกลุ่มต่างๆ มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งหุ้นธนาคารก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายที่คาดว่าจะถูกนักลงทุนต่างชาติเข้ามาเก็บสะสมเช่นเดียวกัน ประกอบกับช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นเริ่มฟื้นตัวแล้ว หากเข้าสะสมก็มีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดีได้
.
โดยบล.ธนชาต ระบุว่า ราคาของหุ้นกลุ่มธนาคารเริ่มมีการฟื้นตัว และในทางสถิติ มักจะให้ผลตอบแทนที่ดีในไตรมาส 1 ของทุกปี ดังนั้นจึงมองเป็นโอกาสเริ่มสะสมกลุ่มธนาคาร จาก Valuation ที่ “ไม่แพง” พร้อมทั้งกำไรปี 2566 ที่คาดว่าเติบโตประมาณ 10% จากปีก่อน
.
ขณะเดียวกันก็เริ่มเห็นเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาซื้อสะสมหุ้นกลุ่มธนาคารอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็น
1. BBL หรือ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ด้วยโครงสร้างที่มีสินเชื่อต่างประเทศกว่า 25% ทำให้ได้ประโยชน์มากที่สุดจากดอกเบี้ยขาขึ้น นอกจากนี้งบดุลยังมีคุณภาพ และมีการเติบโตของกำไรที่สูงขึ้น ให้ราคาเป้าหมาย 170 บาท
.
2. KBANK หรือ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เป็นหุ้นธนาคารใหญ่ที่มูลค่า “ไม่แพง” มีความเสี่ยงด้านหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ลดลงจากการทำ JK AMC ร่วมกับ JMT และเริ่มมีการกระจายสินเชื่อไปต่างประเทศและ Corporate มากขึ้น ให้ราคาเป้าหมาย 178 บาท
.
และ 3. KTB หรือ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) คาดกำไรเติบโตได้ดีอีก 2 ปี จากการตั้งสำรองและค่าใช้จ่ายที่ลดลง ขณะที่ให้อัตราปันผลสูงที่สุดในกลุ่มธนาคารที่ระดับ 5% ในปี 2566 โดยให้ราคาเป้าหมาย 19 บาท
.
ส่องพื้นฐาน 3 หุ้นใหญ่
ส่วนแนวโน้มการดำเนินงานของหุ้นธนาคารทั้ง 3 ตัวนั้น เริ่มจาก BBL บล.พาย ระบุว่า คาดกำไรสุทธิของ BBL ในปี 2566 จะกลับสู่ระดับก่อนเกิด Covid-19 ที่ราว 3.5-3.6 หมื่นล้านบาท และคาดแตะจุดสูงเป็นประวัติการณ์ในปี 2567 ที่ 4.07 หมื่นล้านบาทหรือโต 16% ในปี 2567
.
โดยการเติบโตที่สูงในปี 2566-2567 จะได้แรงหนุนจาก 1. รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NII) ที่สูงขึ้นจากสินเชื่อที่โตขึ้น และส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ที่ขยายตัว และ 2. ค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญที่ลดลง คาดอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น ( ROE) ในปีนี้จะโต 5.9% ปี 2566 โต 6.4% และปี 2567 โต 7.1% แต่ยังต่ำกว่าปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิด Covid-19 ที่ 8.5% ให้คำแนะนำ ซื้อ มูลค่าพื้นฐาน 171 บาท
.
ถัดมา KBANK บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุว่า คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2565 และ 2566 ที่ 4.25 หมื่นล้านบาท โต 12% และ 4.49 หมื่นล้านบาท โต 6% ตามลำดับ พร้อมคงคำแนะนำ ซื้อ และราคาเป้าหมายปีหน้าที่ 190 บาท โดยฝ่ายวิจัยชอบ KBANK เพราะการเติบโตในปี 2565-2566 จากการลดลงของค่าใช้จ่ายสารองควบคู่กับการเติบโตของสินเชื่อ และค่าธรรมเนียม
.
นอกจากนั้นยังมองว่า KBANK เป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่เป็นหนึ่งในผู้นำด้านการพัฒนา Digital Banking เพื่อต่อยอดธุรกิจหลัก รวมถึงการเพิ่มช่องทางการเติบโตใหม่ต่อเนื่อง อีกทั้งการทำธุรกิจร่วมทุน JK AMC ทำให้ KBANK มี Balance Sheet ที่แข็งแกร่งขึ้น
.
สุดท้าย KTB โดยบล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มองแนวโน้มธุรกิจของ KTB จะขยายตัวได้ต่อเนื่อง รับผลบวกจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยและความโดดเด่นในแง่ของคุณภาพสินทรัพย์ที่แข็งแรง นอกจากนี้ยังมีโอกาสในการเร่งขยายฐานลูกค้าผ่านช่องทาง Krungthai NEXT ที่มีความเชื่อมโยงกับ เป๋าตัง มากขึ้นเรื่อยๆ โดยประเมินปี 2565 จะมีกำไรสุทธิที่ 3.41 หมื่นล้านบาท โต 58.21% และปี 2566 จะมีกำไรสุทธิ 3.64 หมื่นล้านบาท โต 6.76% ให้คำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 21 บาท