แพนิคเกินไปขายหุ้น “กลุ่มทุนใหญ่”
โบรกฯชี้! แทรกแซงสัญญาไม่น่าทำได้
แนะเป็นโอกาส “ซื้อ” จังหวะที่ราคาอ่อนตัว

.
หุ้นกลุ่มทุนใหญ่เจอแรงขาย กังวลนโยบายของรัฐบาลใหม่ ล่าสุดนักวิเคราะห์ประเมินว่า ผู้ประกอบการมีสัญญาระบุไว้ชัดเจนรวมถึงมีข้อความที่ระบุในเชิงห้ามแก้ไขสัญญา อีกทั้ง เป็นการทำตามกฎเกณฑ์การประมูลต่างๆ ที่ถูกต้อง
.
ดังนั้นการเข้ามาแทรกแซงในสัญญา ซื้อขายไฟฟ้าฉบับเดิมไม่น่าจะทำได้ พร้อมชี้เป้ากลุ่มที่น่าจะปรับตัวแข็งแกร่งกว่าตลาดในภาวะสุญญากาศทางการเมือง
.
เริ่มจากนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด มีมุมมองว่า กระแสความกังวลต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า หากก้าวไกลเป็นรัฐบาล วานนี้ ราคาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าปรับตัวลง ด้วยสาเหตุนโยบายของพรรคก้าวไกลต่อการปรับ ลดค่าไฟฟ้า โดยสรุปประเด็นหลักได้ 2 แนวทาง
.
1) การปรับลดค่าไฟฟ้าผ่านการพยายามจัดสรรก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักของ โรงไฟฟ้าประเทศไทย โดยให้สัดส่วนก๊าซธรรมชาติที่ทุกๆกลุ่มต้องใช้อยู่ภายใต้ Energy Pool เดียวกัน และให้มีต้นทุนเดียวกัน คือ เป็นราคาเฉลี่ยก๊าซจากทั้งในอ่าวไทย (สัดส่วน 52%) ราคาก๊าซแหล่งอื่นๆบนบก (สัดส่วน 3%) และก๊าซฯที่นำเข้า (สัดส่วน 45% แบ่งเป็น LNG 28.8% และก๊าซฯพม่า 16.2%) และให้เปลี่ยนนโยบายการใช้ก๊าซธรรมชาติ สำหรับปิโตรเคมี โดยให้ PTTGC ปรับเปลี่ยนเครื่องจักรไม่ให้ใช้ก๊าซฯในอ่าว ให้ใช้แนฟทา เป็นวัตถุดิบแทน เพื่อเอาก๊าซธรรมชาติในอ่าวไปใช้ในโรงไฟฟ้าเพื่อลดต้นทุนเชื้อเพลิง
.
2) การปรับค่าความพร้อมจ่าย (AP: Availability Payment) ซึ่งเป็นรายได้ส่วนหนึ่งใน สัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ทำไว้กับกฟผ. (EGAT) สำหรับโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ IPP ที่ได้รับ คัดเลือกเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าผ่านการประมูล โดยพรรคก้าวไกลมองว่าปัจจุบันปริมาณสำรองไฟฟ้าเหลือค่อนข้างสูง ไม่จำเป็นต้องให้โรงไฟฟ้าเดินเครื่องเต็ม ถึงแม้โรงไฟฟ้ามีความ พร้อมจ่ายก็ตาม จึงเหมือนต้องไปบิดเบือนสัญญาที่ทำไว้
.
ดังนั้นจากประเด็นดังกล่าว ถือเป็นปัจจัยกดดันผู้ประกอบการทั้งปิโตรเคมีที่รับก๊าซฯ ไปเป็นวัตถุดิบเช่น PTTGC รวมถึงการปรับราคาที่มีนำเสนอไปให้ใช้ราคาขาย LNG ให้เป็นต้นทุนกับทุกกลุ่ม ซึ่งจะเพิ่มต้นทุนไม่เฉพาะกลุ่มปิโตรเคมี แต่อาจกระทบไปยังกลุ่มอุตสาหกรรม กลุ่มขนส่ง กลุ่มครัวเรือน ที่ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิง เพราะจะทำให้ต้นทุนสูงขึ้น
.
เช่นเดียวกับผู้ประกอบการโรงไฟฟ้า IPP ที่นโยบายพรรคก้าวไกลมีการแตะไปที่ค่าความพร้อมจ่ายที่เป็นส่วนประกอบในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ซึ่งโดยปกติแล้วการประมูลโรงไฟฟ้า IPP จะเป็นการประมูลด้วย IRR ผลตอบแทนการลงทุนตลอดอายุโครงการ
.
โดยผู้ประกอบการมีสัญญาระบุไว้ชัดเจนรวมถึงมีข้อความที่ระบุในเชิงห้ามแก้ไขสัญญา อีกทั้ง เป็นการทำตามกฎเกณฑ์การประมูลต่างๆ ที่ถูกต้อง
.
ดังนั้นการเข้ามาแทรกแซงในสัญญา ซื้อขายไฟฟ้าฉบับเดิมไม่น่าจะทำได้ หรือหากถ้าจะทำก็ต้องมีภาระชดเชยให้กับผู้ถือสัญญา เพราะเป็นการทำผิดสัญญา
.
แต่ทั้งนี้ประเด็นดังกล่าวอาจจะกระทบสัญญาที่จะเกิดขึ้นใหม่ ก็จะทำให้สัญญาใหม่ๆ มีโอกาสทำกำไรได้น้อยลงเมื่อเทียบกับในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งก็จะทำให้ความน่าสนใจลงทุนของผู้ประกอบการสำหรับโครงการในประเทศไทยลดลง ก็จะเป็นภาระต่อ EGAT ต่อไป ที่หากไม่มีเอกชนเข้ามาลงทุน กฟผ.ก็ต้องดำเนินการลงทุนเองทั้งหมด
.
แต่อย่างไรก็ตามในช่วงที่ผ่านมาผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าได้หันไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น เนื่องจากโครงการในประเทศไทยที่ลดลง และผลตอบแทนการลงทุนที่ต่ำ จึงไม่น่าสนใจอยู่แล้ว
รวมทั้งมุมมองนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า ราคาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าที่ปรับตัวลงนำโดย GULF, BGRIM, GPSC อาจมาจากความกังวลผลกระทบ ของนโยบายหาเสียงรัฐบาลใหม่ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายด้าน ft, การเปิดประมูล และการลดภาระค่าไฟประชาชน ซึ่งโดยรวมมองการดำเนินตามนโยบายแบบสมเหตุสมผลและไม่กระทบต่อสภาพคล่องของ EGAT และ ภาพลักษณ์การลงทุนของประเทศ จะไม่ได้กระทบต่อกำไรและราคาเป้าหมายปี 66 ของกลุ่มเท่าตลาดกังวล
.
ทั้งนี้มองหากรับความเสี่ยงด้านปัจจัยการเมืองได้ จะเป็นโอกาสในการซื้อหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้าในช่วงที่ราคาอ่อนตัว คง มุมมองไตรมาส 2/66 กลุ่มขายไฟลูกค้าอุตสาหกรรมอย่าง GPSC, BGRIM กำไรฟื้นจากตรมาสแรกต่อเนื่อง โดยคงมุมมอง Bullish ต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า เพราะ แนวโน้มกำไรปกติปี 66 ที่ฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาสแรก นำโดยกลุ่มโรงไฟฟ้าที่ขายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรม (IU) ที่ GPM ฟื้น ได้ประโยชน์จากต้นทุนก๊าซฯขาลง และกำลังการผลิตจากโรงไฟฟ้าใหม่หนุนคง GPSC ราคาเป้าหมายปี 66 เท่ากับ 84.00 เป็น top pick
.
[ชี้เป้ากลุ่มที่จะปรับตัวแข็งแกร่งกว่าตลาด]
เช่นเดียวกันกับนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ประเมิน CPALL, BJC, MAKRO เป็นหุ้นในกลุ่มที่ได้รับแรงหนุน หลังเป็นกลุ่มที่อิงกับสินค้าและบริการที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตนั่นเอง โดยระบุว่า มองกลุ่มที่น่าจะปรับตัวแข็งแกร่งกว่าตลาดในภาวะสุญญากาศทางการเมือง ได้แก่ กลุ่มภาคบริการที่ได้ประโยชน์จากการบริโภคที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากนโยบายการเพิ่มค่าแรง/เงินในกระเป๋า ซึ่งอยู่ในแนวทางของพรรคการเมืองแทบทุกพรรค และที่สำคัญต้องเป็นกลุ่มที่สามารถส่งผ่านต้นทุนค่าแรงที่อาจเพิ่มขึ้นเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งก็จะต้องเป็นกลุ่มที่อิงกับสินค้าและบริการที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตนั่นเอง
.
ด้วยเหตุนี้ กลุ่มที่ดูเหมือนจะตอบโจทย์เหล่านี้มากที่สุดยังคงได้แก่ 3 Sector หลักที่แนะนำให้ Overweight ตั้งแต่ช่วงต้นเดือน พ.ค.นั่นก็คือกลุ่ม Banking (BBL, KTB), Consumer staple (CPALL, BJC, MAKRO) และ Healthcare (BH, BDMS, PR9) หากดัชนี SET ย่อลงต่อไปแถวบริเวณเส้นแบ่งความถูกความแพงของเราที่ดัชนี 1520 จุด หรือต่ำกว่ามองเป็นจังหวะในการทยอยสะสมหุ้นเหล่านี้ได้