ห้องเม่าปีกเหล็ก

‘ไทยเบฟ’ เปิดหน้าตัก เงินพร้อม! ซื้อกิจการสานเป้า ‘เบอร์ 1’ อาเซียน

โดย Durant
เผยแพร่ :
91 views

 

ไทยเบฟ โชว์ศักยภาพทางการเงินฐานะแกร่ง เงินสดตุงกระเป๋าปีละ 2 หมื่นล้านบาท เปิดหน้าตักเครื่องมือพร้อม ทั้งกู้แบงก์กระแสเงินสด ออกหุ้นกู้ ตั๋วบี/อี สานวิสัยทัศน์2020 บริษัทเครื่องดื่มใหญ่สุด กำไรสูงสุดในอาเซียน พร้อมเดินทางลัดซื้อกิจการต่อยอดธุรกิจขึ้นแท่นผู้นำ จับตาดีลเบียร์ไซ่ง่อน6 หมื่นล้านบาท

 

นายสิทธิชัย ชัยเกรียงไกร กรรมการและรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ หรือซีเอฟโอ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด(มหาชน) หรือไทยเบฟ เปิดเผยว่า บริษัทมีสถานะทางการเงินค่อนข้างแข็งแกร่ง และมีเครื่องมือทางการเงินพร้อมแล้วสำหรับการทำธุรกิจตามแผนงานวิชั่น 2020 ที่ต้องการเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มในอาเซียน ทั้งนี้การซื้อและควบรวมกิจการ หรือเอ็มแอนด์เอ (M&A) เป็นหนึ่งในเป้าหมายเพื่อสานเป้าดังกล่าว ขณะที่งานปฏิบัติการกับฝ่ายการเงินต้องมีแผนที่เดินตามไปด้วยกัน

ขณะที่เดือนสิงหาคม 2559 ไทยเบฟ ได้รับการจัดอันดับเครดิตสากลระยะยาวที่ BBB โดยมีแนวโน้มเสถียรภาพ และอันดับเครดิตระยะยาวภายในประเทศที่ AA+(tha) จัดอันดับโดยฟิทช์ เรทติ้ง ซึ่งให้เหตุผลว่า ไทยเบฟเป็นผู้นำเครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล์และไม่ใช่แอลกอฮอล์ โดยมีผลิตภัณฑ์และช่องทางการจัดจำหน่ายที่หลากหลาย และต่างชาติเข้ามาแข่งขันได้ยาก ทั้งนี้อันดับเครดิตดังกล่าว เป็นระดับเดียวกับบมจ. ปตท. (PTT) และบมจ. ปูนซิเมนต์ไทย (SCC)

นอกจากนี้ไทยเบฟ ยังมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยปัจจุบันมีอัตราหนี้สินต่อทุน (ดี/อี) 0.32 เท่า และอัตราหนี้สินต่อกำไรก่อนหักดอกเบี้ยภาษีและค่าเสื่อม หรืออีบิทดา (EBITDA) อยู่ที่ 1 เท่า ซึ่งหมายความว่าหากบริษัทมีการซื้อกิจการหรือต้องการใช้เงินจริงก็สามารถ เพิ่มอัตราหนี้สินต่ออีบิทดาได้อีกมาก เพราะในอุตสาหกรรมเฉลี่ยอยู่ที่ 6-7 เท่า

อย่างไรก็ดี ถือเป็นการเตรียมพร้อมทางการเงินในระยะยาว เพราะแม้จะมีดีลการซื้อกิจกการในช่วงที่เหลือของปีนี้หรือ 4 เดือน แต่ขั้นตอนในการเสนอขายหุ้นกู้แต่ละครั้งใช้ระยะเวลานาน อาจเสนอขายหุ้นกู้ไม่ทันเพราะต้องไปเสนอข้อมูลกับผู้ลงทุน (โรดโชว์) ก่อน เบื้องต้นถ้าหากมีดีลซื้อกิจการจริงอาตต้องกู้เงินจากสถาบันการเงินก่อน และการให้ฟิทช์จัดอันดับเรตติ้งก็เพราะมีความยืดหยุ่นได้จะสามารถออกหุ้นกู้ ทั้งในประเทศและต่างประเทศในหลากหลายสกุลเงินต่างประเทศ

” ปกติเราจะใช้เลือกใช้ต้นทุนทางการเงินที่ต่ำที่สุดและขึ้นอยู่กับดีลที่ เจรจาหรือสถานการณ์ที่บริษัทกำลังขยายงานอยู่”ซีเอฟโอไทยเบฟ กล่าวและว่า

ปัจจุบันไทยเบฟมีเงินกู้ในประเทศทั้งหมด โดยมีหนี้สินรวม ณ สิ้นมิถุนายน 2559 จำนวน 4.2 หมื่นล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 2.6 % ต่อปี ส่วนทิศทางจากนี้จะใช้เครื่องมือทางการเงินแบบไหนต้องรอทิศทางการขึ้น ดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกา ด้วยเพราะจะมีผลทำให้ต้นทุนทางการเงินโดยรวมทุกส่วนมีโอกาสขยับขึ้นโดยเฉพาะ การออกหุ้นกู้

ที่ผ่านมาบริษัทได้รับข้อเสนอที่ดีจากสถาบันการเงินตลอดทำให้มีต้นทุน เงินกู้ต่ำกว่าการออกหุ้นกู้ รวมถึงปกติมีการออกตั๋วเงินระยะสั้น (บีอี) ในแต่ละปีวงเงิน 4,000-6,000 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นเงินหมุนเวียนของบริษัท ซึ่งปกติจะเป็นที่ต้องการของลูกค้าไฮเน็ท เวิร์ต (ผู้มีเงินลงทุนสูง)ของธนาคารไทยพาณิชย์และธนาคารกสิกรไทย อีกทั้งปกติต่อปีบริษัทมีกระแสเงินสดเฉลี่ย 2 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น 1.5 หมื่นล้านบาทสำหรับการจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้น และอีก 5,000-6,000 ล้านบาท จะใช้เป็นงบลงทุนเพื่อปรับปรุงหรือเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต

ต่อกรณีที่มีข่าวปรากฏในบลูมเบิร์กว่า ไทยเบฟ เป็นหนึ่งในบริษัทที่สนใจซื้อธุรกิจเบียร์ที่ประเทศเวียดนาม ส่วนผู้สนใจอีก 2 ราย คือ ไฮเนเก้นและเบียร์อาซาฮี พราะรัฐบาลเวียดนามประกาศขายหุ้นเบียร์ไซง่อน มูลค่า 1,800 ล้านดอลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 6.2 หมื่นล้านบาท) และฮานอยเบียร์ มูลค่า 404 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 1.4 หมื่นล้านบาท)

นายสิทธิชัย ตอบคำถามผู้สื่อข่าวในประเด็นนี้ว่า ทั้งหมดนี้ต้องรอสอบถามจากนายฐาปนดีที่สุด แต่ปกติการซื้อกิจการบริษัทมีสัดส่วนผสมกันระหว่างการกู้แบงก์ เงินทุนหมุนเวียนของบริษัท และการออกหุ้นกู้ ซึ่งการซื้อกิจการเอฟแอนด์เอ็น มูลค่า 3,700 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ก็เป็นการกู้เงินจากแบงก์กว่า 3,000 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์

ก่อนหน้านี้นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ไทยเบฟ กล่าวว่า เป้าหมาย 5 ปีข้างหน้า (2559-2563) ตั้งเป้าผลประกอบการเติบโต 10% ต่อเนื่องทุกปี เพื่อนำไปสู่วิชั่น 2020 สำหรับการบุกตลาดเครื่องดื่มปราศจากแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในตลาด อาเซียน สินค้าที่เข้าไปเปิดตลาดต้องติดอันดับ 1 ใน 2 ของตลาด

ส่วนประเทศเวียดนาม ปัจจุบันกลุ่มธุรกิจของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ได้เข้าไปลงทุนในผลิตภัณฑ์นม บรรจุภัณฑ์ โลจิสติกส์ โรงแรม และค้าปลีก เป็นต้น
7
ผลประกอบการไทยเบฟครึ่งปีแรก มีรายได้รวม 100,625 ล้านบาท เติบโต 18.8% จากช่วงเดียวกันปีก่อน มีกำไรสุทธิ 14,482 ล้านบาท เติบโต 16% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (รวมบริษัทเฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ หรือ เอฟ แอนด์ เอ็น) หากไม่รวมเอฟ แอนด์ เอ็น บริษัทมีกำไรสุทธิครึ่งแรกเติบโตแบบก้าวกระโดด 24.5%อยู่ที่ 13,106 ล้านบาท

ปัจจุบันไทยเบฟมีสัดส่วนรายได้จากในประเทศ 95 % อีก 5 % เป็นรายได้จากต่างประเทศ และสัดส่วนรายได้ที่จากธุรกิจแอลกอฮอล์ 87% และไม่ใช่แอลกอฮอล์ 13% โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ย 20 %

 

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,187 วันที่ 4 – 7 กันยายน พ.ศ. 2559


Durant