หุ้นไฟแนนซ์ กอดคอบวกยกแผง
ปัจจัยลบเริ่มคลี่คลาย
โบรกฯ ชู SAWAD-MTC-TIDLOR สุดเด่น

.
รายงานความเคลื่อนไหวราคาหุ้นในกลุ่มไฟแนนซ์เช้านี้ (2 พ.ย. 66) ปรับตัวขึ้นโดดเด่น นำโดย SAWAD ที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 45 บาท เพิ่มขึ้น 7.78%, MTC ราคาหุ้นปรับขึ้นมาอยู่ที่ 39.50 บาท เพิ่มขึ้น 6.04% และ TIDLOR ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 20.50 บาท เพิ่มขึ้น 6.22% เป็นต้น
.
หลังธนาคารคารกลางสหรัฐฯ มีมติคงอัตราดอกเบี้ย 5.25-5.50% ตามคาดและจะระมัดระวังในการใช้นโยบายการเงิน ส่งผลให้นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดอาจยุติการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกา อายุ 10 ปี ปรับตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 4.7%
.
ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ธนชาต จำกัด (มหาชน) ยังให้มุมมองว่า การหดตัวของ ROE ของกลุ่มไมโครไฟแนนซ์ได้สิ้นสุดลง แม้เราคาดว่าต้นทุนทางการเงินจะเพิ่มขึ้นมาก แต่กลุ่มฯ มีแนวโน้มที่จะกลับมาเติบโตในระดับเลขสองหลัก หนุนโดยอัตราผลตอบแทนที่สมํ่าเสมอและตั้งสำรองที่ลดลง
.
ทั้งนี้ ด้วยผลกระทบจากการควบคุมด้านหลักเกณฑ์ การแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงขึ้น และ NPL ที่สูงขึ้น กลุ่มไมโครไฟแนนซ์จึงเผชิญกับการลดลงของ ROE จาก 30% ในปี 2559 เป็น 17% ในปี 2565 แต่เราคาดว่า ROE จะไปถึงจุดตํ่าสุดที่ 16% ในปี 2566 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 17% ในปี 2567 และ 18-19% ในปี 2568-2569 เนื่องจาก 1) การแข่งขันด้านราคาที่ดุเดือดน้อยลง โดยมีความเสี่ยงเรื่องการกำหนดเพดานอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพิ่มเติมที่จำกัด
.
2) การตั้งสำรองลดลง เนื่องจากคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้น และการ clean-up งบดุลอย่างหนักที่สิ้นสุดลงในไตรมาส 4/66 3) สินเชื่อเติบโตในระดับเลขสองหลักต่อเนื่อง เนื่องจากอัตราการเข้าถึงที่ยังคงตํ่า และลักษณะการหมุนเวียนของสินเชื่อจำนำทะเบียน และ 4) เราคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะมีเสถียรภาพมากขึ้นในปี 2567 และต้นทุนทางการเงินของกลุ่มฯ จะถึงจุดสูงสุดในปี 2568
.
นอกจากนี้ ยังคาดการณ์ว่ากำไรจะกลับมาเติบโตในระดับ 2 หลัก แม้อัตราดอกเบี้ยและบอนด์ยีลด์ที่เพิ่มขึ้นเร็วกว่าคาด ทำให้เราต้องปรับลดประมาณการกำไรของกลุ่มฯ ลงเฉลี่ย 10% ใน 3 ปีข้างหน้า แต่ไม่ได้เปลี่ยนมุมมองว่ากำไรของกลุ่มฯ ในปี 2564-2566 จะเติบโตในระดับ 4.4% ต่อปี โดยคาดว่ากำไรจะเติบโตแข็งแกร่ง 21%, 20% และ 19% ในปี 2567-2569 ตามลำดับ โดยปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตที่สำคัญ ได้แก่ การเติบโตของสินเชื่อ 14%, credit cost ที่ลดลง 34bps และอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ที่ลดลง เนื่องจากเราปรับมาใช้ปีฐาน 2567 ราคาเป้าหมายของเราจึงปรับลดลงเพียง 10-22% เท่านั้น
.
ในส่วนของราคาหุ้นมองว่าปรับตัวลงไปมากแล้ว โดยหุ้นไมโครไฟแนนซ์ถูก de-rated และซื้อขายที่ระดับตํ่ากว่า P/BV 3 ปีที่ 2.9 เท่า อีกทั้ง P/E ยังตํ่ากว่าค่าเฉลี่ย 3 ปีที่ 17 เท่าด้วย ซึ่งเรามองว่าไม่สมเหตุสมผล นอกจากนี้ราคาหุ้นปัจจุบันยังบ่งชี้ว่าต้นทุนทางการเงินสำหรับ MTC, SAWAD และ TIDLOR เพิ่มขึ้นเป็น 6.5-8.0% ในปี 2567 และจะคงอยู่ที่ระดับนี้
.
ดังนั้นจึงให้นํ้าหนักลงทุน “OVERWEIGHT” กลุ่มไมโครไฟแนนซ์ และคงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้นทั้งสามตัว จากราคาที่ถูกมาก และเป็นการปรับตัวลงจากความกังวลต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้นไปมากแล้ว โดย SAWAD ได้ส่วนแบ่งกำไรจาก FM เต็มปี การขาดทุนจากรถยึดที่ลดลงของ SCAP และ yield ที่เพิ่มขึ้นจะเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตของกำไรที่ชัดเจน ให้ราคาเป้าหมาย 57 บาท
.
ส่วน MTC เราชอบโมเดลธุรกิจที่เรียบง่ายและการรุกกลุ่มสินเชื่อไม่มีหลักประกันที่มีความเสี่ยงสูงน้อยลง ให้ราคาเป้าหมาย 44 บาท ด้าน TIDLOR มีโมเดลการสร้างรายได้ที่หลากหลายที่สุด เนื่องจากราคาหุ้นอยู่ในระดับตํ่าสุดเป็นประวัติการณ์ ความเสี่ยงในการขายหุ้นของผู้ถือหุ้น private equity จึงดูลดลงในมุมมองของเรา ให้ราคาเป้าหมาย 25 บาท