ห้องเม่าปีกเหล็ก

กฎการค้ารูปแบบใหม่

โดย ตำรา
เผยแพร่ :
112 views

กฎการค้ารูปแบบใหม่ เน้นธุรกิจปรับรับโลก หนุนสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

 

การค้าโลกในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงตลอดในทุกช่วงเวลา ปัจจัยการเปลี่ยนแปลงในเรื่องสภาพภูมิอากาศ การแข่งขันในห่วงโซ่การผลิต สงครามการค้าระหว่างจีน - สหรัฐ และความขัดแย้ง ในรัสเซีย - ยูเครน ส่งผลทำให้ทิศทางของการค้าเปลี่ยนแปลงไป

“แม้ว่าที่ผ่านมา จะมีการทำความตกลงทางการค้าเสรีเพื่อขจัดอุปสรรคทางการค้า แต่หลายประเทศยัง กำหนดมาตรการกีดกันทั้งในรูปแบบภาษี (Tariff) และมิใช่ภาษี (Non-Tariff) เพื่อส่งเสริมการผลิตและปกป้อง ผลประโยชน์ของผู้ผลิตและผู้บริโภคในประเทศ” ซึ่งปัจจุบัน มาตรการที่นานาชาติให้ความสำคัญ และนำมาใช้เป็นเครื่องมือกีดกันทางการค้า หรือมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental)     

รณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ กรุงเทพธุรกิจ ระบุว่า ข้อตกลงหรือระเบียบการค้าที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และความยั่งยืน รวมถึงความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และปัญหามลพิษทางอากาศ ทั้งในระดับโลก และในระดับชาติ นำไปสู่กติกาทางการค้าใหม่ๆ  

ความร่วมมือในระดับโลกนั้น เช่น อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP)

นโยบายระดับชาติ เช่น สหภาพยุโรป (EU) กำหนดเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ จนเกิดเป็น “European Green Deal” หรือมาตรการลดคาร์บอนไดออกไซด์ลง 55 % ในปี 2030 (พ.ศ.2573)                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                         

 

การปรับค่าคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM) มีผลใช้บังคับ 1 ต.ค. 2566 เป็นต้นไป ซึ่งในช่วง 3 ปี แรก (ปี 2566 - 2568) เป็นช่วง เปลี่ยนผ่าน (Transition period) สินค้าข้างต้นที่นาเข้าจากประเทศที่ไม่ใช่สมาชิก EU ที่ราคาสูงกว่า 150 ยูโร ยังไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมคาร์บอน แต่จะต้องรายงานข้อมูลรายไตรมาส ได้แก่ ปริมาณการนำเข้าสินค้า ปริมาณ การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการผลิต โดยจะมีการเรียกเก็บภาษีตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2569 ซึ่งต้องมี การรายงานข้อมูลพร้อมยื่นหลักฐานการจ่ายค่าธรรมเนียม CBAM Certificate ภายในวันที่ 31 พ.ค.ของทุกปี

 

นอกจากนี้ รัฐสภายุโรปได้มีมติเห็นชอบร่างระเบียบว่าด้วยสินค้าที่ปลอด การตัดไม้ทำลายป่า (EU Deforestation Free Product) ซึ่งผู้ประกอบการที่จดทะเบียนใน EU ต้องแสดงข้อมูล พิสูจน์ให้ได้ว่าสินค้าที่วางจำหน่ายในตลาด EU ไม่มีกระบวนการผลิตที่เกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า โดยจะเริ่มใช้ บังคับกับสินค้า 7 กลุ่มแรก ได้แก่ ไม้ น้ำมันปาล์ม ถั่วเหลือง กาแฟ โกโก้ ยาง และเนื้อวัว และผลิตภัณฑ์จากสินค้า ดังกล่าว อย่างไรก็ดี กฎหมายใหม่นี้อยู่ระหว่างการพิจารณาอนุมัติอย่างเป็นทางการจากประเทศสมาชิก และเมื่อมี ผลบังคับใช้ ผู้ประกอบการจะมีเวลาเตรียมความพร้อม 18 เดือน

ในฝั่งของสหรัฐก็ตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593 และอยู่ ระหว่างออกกฎหมายลักษณะเดียวกับ CBAM คือ Clean Competition Act (CCA) ประกอบด้วยมาตรการกำหนดกลไก ราคาคาร์บอน (Carbon Pricing) สำหรับสินค้าที่ผลิตในประเทศ และมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน สำหรับสินค้านำเข้า ในอัตราภาษี 55 ดอลลาร์ต่อตันคาร์บอนที่ปล่อยในกระบวนการผลิต หากเกินกว่าเกณฑ์ ที่กำหนด โดยมีสินค้าที่เกี่ยวข้อง อาทิ เชื้อเพลิงฟอสซิล ผลิตภัณฑ์จากการกลั่นปิโตรเลียม ปิโตรเคมี ปุ๋ย ไฮโดรเจน ซีเมนต์ เหล็กและเหล็กกล้า ถ่านหิน อะลูมิเนียม กระจก เยื่อและเยื่อกระดาษ เป็นต้น โดยจะเริ่ม บังคับใช้ในปี 2567

ประเทศอื่นๆ รวมถึงไทย ก็มีการออกนโยบายด้าน Green Economy และ Climate Change เช่นกัน อาทิ นโยบาย Green Plan ของสิงคโปร์ Green New Deal ของเกาหลีใต้ และโมเดลเศรษฐกิจ BGC (Bio-Circular-Green Economy) ของไทย เพื่อผลักดันให้ภาคเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมมีการสร้างมูลค่าเพิ่มของ ทรัพยากรชีวภาพ ใช้ทรัพยากรให้เกิดความคุ้มค่าและยั่งยืน 

      “จะเห็นว่าระเบียบการค้าดังกล่าวมีผลให้ผู้ประกอบการจะมีค่าใช้จ่ายจากการคำนวณ และจัดเก็บข้อมูลการปล่อยค่าคาร์บอนไดออกไซด์ การตรวจประเมินโดยหน่วยงานที่รับผิดชอบ และการจ่ายค่าธรรมเนียมคาร์บอน เป็นต้น ซึ่งอัตราอาจแตกต่างกัน ในแต่ละอุตสาหกรรม ขึ้นอยู่กับปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการผลิต ในส่วนทางอ้อมนั้นผู้ประกอบการจะมีต้นทุนในการพัฒนาปรับปรุงเทคโนโลยีการผลิต การออกแบบสินค้าให้มี ความยั่งยืน การใช้พลังงานหมุนเวียน การรับรองการติดฉลากคาร์บอน การทำการตลาด เป็นต้น”

      ดังนั้น ภาคเอกชนเมื่อเห็นถึงทิศทางการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวแล้วก็ควรเร่งปรับตัว ซึ่งบทบาทหน่วยงานราชการอย่างกรมการค้าต่างประเทศจะได้ทำหน้าที่สนับสนุนเพื่อให้การเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้ไม่ใช่ความท้าทายแต่จะกลายเป็นโอกาสทางการค้าใหม่ของไทยต่อไป 

 

 


ตำรา