
ตัวเลขเศรษฐกิจจีนเดือนกรกฎาคมของจีน ทำให้เห็นได้ชัดว่าจีนกำลังเข้าสู่ภาวะเงินฝืดอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งดัชนีราคาผู้ผลิตและผู้บริโภคต่างก็ลดลงพร้อมๆ กันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2020 ก่อให้เกิดความกังวลว่าเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับสองของโลกจะเป็นไปในทิศทางใด
การที่ราคาสินค้าของจีนปรับลดลงเรื่อยๆ ในขณะที่ยังเต็มไปด้วยแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อในประเทศอื่นๆ เกิดขึ้นได้อย่างไร และจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างไรบ้าง
ทำไมจีนเข้าสู่ภาวะเงินฝืด?
ในสหรัฐฯ และประเทศเศรษฐกิจหลักอื่นๆ ต่างก็ประสบกับเงินเฟ้อสูงเนื่องจากเปิดประเทศหลังการแพร่ระบาดโควิด ทำให้อุปสงค์ที่อัดอั้นมานานพุ่งสูงขึ้นมาก เมื่อต้นปี นักเศรษฐศาสตร์บางคนจึงได้คาดการณ์ไว้ว่าจีนก็น่าจะเผชิญกับเงินเฟ้อเช่นกันหลังจากผ่อนคลายมาตรการโควิด แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น…
ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจีนยังคงซบเซา ในขณะที่ปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ก็บั่นทอนความเชื่อมั่นเข้าไปอีก ทำให้คนกล้าๆ กลัวๆ ที่จะซื้อสินค้าชิ้นใหญ่ๆ อย่างบ้าน รวมไปถึงเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ภายในบ้านอีกด้วย
ทางด้านราคาพลังงานก็ลดลงเช่นกัน ด้วยความที่ต้นทุนสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกลดลง และกรุงปักกิ่งเองก็สามารถควบคุมอุตสาหกรรมพลังงานมาได้อย่างยาวนาน
ในขณะที่ทางฝั่งยานยนต์ ก็เกิดสงครามราคาระหว่างผู้ผลิตรถยนต์ด้วยกันเองเพื่อลดสินค้าในสต็อกที่มีอยู่ ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งที่กดดันให้เกิดเงินฝืดเช่นกัน
แต่ก็ไม่ใช้ทุกภาคส่วนที่เผชิญกับภาวะเงินฝืด เพราะการจับจ่ายใช้สอยในภาคบริการ เช่น การท่องเที่ยว ร้านอาหาร ก็เพิ่มขึ้นหลังจากที่ข้อจำกัดในช่วงโควิดสิ้นสุดลง ทำให้ราคาต่างๆ ในภาคบริการดีดตัวสูงขึ้น
เงินฝืด = ของถูกลง แล้วมันไม่ดีหรือ?
คำถามนี้น่าจะเป็นคำถามแรกๆ ที่ผุดขึ้นมาในหัวของคนที่อ่านบทความนี้ แน่นอนว่าในตอนแรก ราคาที่ถูกลงย่อมเป็นเรื่องดีสำหรับผู้บริโภคอยู่แล้ว แต่ปัญหาคือเมื่อราคาถูกลงไปเรื่อยๆ ผู้บริโภคจะเริ่มคิดว่างั้นยังไม่ควรซื้อสินค้าชิ้นใหญ่ๆ รอให้ราคามันถูกลงกว่านี้ดีกว่า เพราะเดี๋ยวราคาก็ลดลงไปเรื่อยๆ ตรงนี้เองที่แย่เพราะไปลดกิจกรรมทางเศรษฐกิจลง ในทางกลับกัน ธุรกิจถูกกดดันให้ลดลงราคา นั่นหมายถึงว่าตัวผู้บริโภคเองที่ฝั่งหนึ่งก็เป็นลูกจ้างในองค์กรใดองค์กรหนึ่ง ก็อาจจะถูกลดค่าจ้าง หรือต้องตกงานก็เป็นได้ ก็จะยิ่งทำให้การจับจ่ายใช้สอยลดลง และเป็นแรงกดดันด้านลบเข้าไปอีก
แล้วก่อให้เกิดผลกระทบอะไรต่อเศรษฐกิจบ้าง?
ราคาสินค้าที่ลดลงนั่นหมายถึงกำไรของบริษัทที่ลดลง ซึ่งทำให้บริษัทต้องจำกัดการลงทุนและการจ้างงานลงไป เงินฝืดยังทำให้ดอกเบี้ยที่แท้จริงเพิ่มสูงขึ้น นั่นหมายถึงต้นทุนของแต่ละบริษัทก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วยทำให้บริษัทมีความสามารถในการลงทุนได้น้อยลง อุปสงค์ก็จะลดลงตามไปด้วย ก็ยิ่งทำให้เกิดเงินฝืดมากขึ้น
ในขณะเดียวกันสำหรับตลาดพันธบัตรอาจจะได้รับแรงหนุนเชิงบวกเนื่องจากนักลงทุนใช้พันธบัตรเป็นตัวป้องกันความเสี่ยงเงินฝืด ส่วนรัฐบาลที่กังวลเรื่องการเติบโตของเศรษฐกิจก็จะหันไปใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย ทำให้ไปกระตุ้นให้พันธบัตรของประเทศยิ่งดูน่าดึงดูดมากขึ้น
นอกจากนี้นักเศรษฐศาสตร์บางคนเชื่อว่าอาจเกิด “กับดักสภาพคล่องหนี้ฝืด” (Debt deflation) ที่อาจทำให้เศรษฐกิจถดถอยได้เนื่องจากคนผิดนัดชำระหนี้และฐานะทางการเงินของธนาคารก็ย่ำแย่ลง อย่างญี่ปุ่นที่ในช่วงทศวรรษ 1990 ก็เผชิญกับปัญหานี้เช่นกันจนทำให้เกิดเศรษฐกิจถดถอยเป็นเวลานานและปัญหานี้ก็ยังคงอยู่มาจนถึงตอนนี้แม้ว่าจะหาวิธีแก้ไข ถึงขนาดปรับดอกเบี้ยให้ติดลบแล้วก็ตาม
แล้วจีนจะแก้ปัญหาอย่างไรได้บ้าง?
นักเศรษฐศาสตร์ก็คาดว่าในช่วงครึ่งหลังของปี แรงกดดันให้เกิดเงินฝืดอาจเบาบางลง จากการที่ราคาอาหารและพลังงานปรับลดลงไประดับหนึ่งแล้ว
ธนาคารกลางจีน จึงอาจจะใช้วิธีลดดอกเบี้ยลงไปอีก หรือลดปริมาณเงินสำรองที่ถือไว้ แต่ปัญหาคือธนาคารกลางจีนเผชิญกับข้อจำกัดอยู่มากมาย เช่น เงินหยวนอ่อนค่า และระดับหนี้ที่สูง โดยเฉพาะหนี้ในระดับรัฐบาลท้องถิ่น จึงทำให้จีนอาจมีทางเลือกไม่มาก และมีเวลาจำกัด ในการจะต่อสู้และเอาชนะเงินฝืดไปให้ได้…
ผู้เขียน : ชนาภา มานะเพ็ญศิริ Economist, Bnomics