เปิดโผ 6 หุ้นรับอานิสงส์
ฟรีวีซ่าไทย-จีน หนุนท่องเที่ยวโตเด่น

.
ถือว่าเป็นข่าวดีอีกหนึ่งข่าวสำหรับกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว กับประเด็นฟรีวีซ่าระหว่างไทยและจีน ซึ่งล่าสุดรัฐบาลไทยและรัฐบาลจีน ได้ร่วมลงนามความตกลงการยกเว้นการตรวจลงตราซึ่งกันและกัน สำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาและหนังสือเดินทางกึ่งราชการ โดยความตกลงฉบับนี้จะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 67
.
ด้านของการลงทุนในด้านตลาดทุนเอง ก็ถือเป็นข่าวที่มีต่อภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน แต่จะมีจะหุ้นใดที่ได้รับประโยชน์บ้างนั้น ในวันนี้ทางเราก็ได้หยิบยกมุมมองการลงทุนและหุ้นแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญมาแบ่งปันกันในครั้งนี้
.
โดยบทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองเป็นบวกต่อการยกเลิกวีซ่าไทย-จีน โดยจะช่วยกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวจีนปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งในปี 2566 กลุ่มนักท่องเที่ยวจีนมีสัดส่วนอยู่ที่ 13% หรือ 3.5 ล้านคน และประเมินในปี 2567 จะมีนักท่องเที่ยวจีนที่ 5.5 ล้านคน เพิ่มขึ้น 57%
.
พร้อมกันนี้ตัวเลขนักท่องเที่ยวที่ดีขึ้น คาดเพราะเป็นช่วงไฮซีซั่นของไทยโดยมีนักท่องเที่ยวจีนขึ้นมาเป็นอันดับ 1 เพิ่มขึ้นได้ถึง 28% มาแตะระดับ 1 แสนคนต่อสัปดาห์ ซึ่งถือว่าสูงมากทั้งที่ไม่มีอีเว้นท์อะไรที่มีนัยสำคัญ ทั้งนี้ประเมินจำนวนผู้โดยสารเฉลี่ยต่อวันในช่วงที่เหลือของเดือน ม.ค. 24 จะอยู่ ระดับ 9 หมื่น-1 แสนคน/วัน ได้เพราะยังอยู่ในช่วงไฮซีซั่นของไทย
.
ด้านบทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่าไทย-จีน ได้ลงนามข้อตกลงยกเว้นวีซ่าถาวรระหว่างกันแล้วเมื่อวานนี้ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 24 เป็นต้นไป มองเป็น “บวก” ต่อกลุ่มท่องเที่ยว หนุนการเดินทางระหว่างประเทศมากขึ้น
.
โดยแนะนำ กลุ่มโรงแรม-สปา ERW (ได้ผลบวกเยอะสุด สัดส่วนลูกค้าจีนคิดเป็น 13% ของรายได้รวม) CENTEL (สัดส่วนรายได้ชาวจีน 3%), MINT (สัดส่วนรายได้จากชาวจีน 0.4%) และ SPA, กลุ่มสนามบิน-สายการบิน AOT, BA และกลุ่มสื่อสาร-ค้าปลีก ADVANC, TRUE, CPALL และ CPN
.
สำหรับพื้นฐานรายตัวอย่าง ERW บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ให้คำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 6.40 บาท เนื่องจากราคาหุ้น สมควรจะมีพรีเมี่ยมจากผลการดําเนินงานที่ดีขึ้นของกิจการในประเทศไทย และผลประกอบการโดยรวม
.
ทั้งนี้คาดว่ากําไรสุทธิปี 2567 จะอยู่ที่ 846 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% ตามรายได้ที่เพิ่มขึ้นและโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราค่าห้องพักได้อีก พร้อมกันนี้ราคาหุ้นยังมีอัพไซด์จากกิจการโรงแรมในภูมิภาค APAC
.
ถัดมาที่ CENTEL บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 50 บาท โดยหุ้นจะมีปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวที่ดีของนักท่องเที่ยวชาวจีนในช่วงเทศกาลตรุษจีนที่กำลังจะมาถึง ขณะที่กำไรสุทธิปี 67 จะอยู่ที่ 1,533 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% ตามการเติบโตของ organic รายได้เฉลี่ยต่อห้องของพอร์ตในไทย, มัลดีฟส์ และดูไบ รวมถึงการพลิกฟื้นของโรงแรมในโอซาก้า
.
ต่อมา MINT บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 35 บาท ด้วยอัพไซด์ที่เปิดกว้างและมูลค่าหุ้นปัจจุบันที่ถูกกว่าในอดีตและกลุ่ม ขณะที่กำไรสุทธิปี 2567 จะอยู่ที่ 7,763 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21%
.
จากตลาดยุโรปได้ดีมานด์เพิ่มจากกลุ่มนักท่องเที่ยวระยะไกลและกลุ่มลูกค้า Corporate มากขึ้น, ผลบวกของการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนเต็มปี และธุรกิจร้านอาหารในจีนคาดรายได้และยอดขายสาขาเดิมจะกลับมาเติบโต
.
ด้าน SPA บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำ “เก็งกำไร” ราคาเป้าหมาย 12.50 บาท คาดราคาหุ้นจะแกว่งตัวออกข้างจนกว่าจะมีปัจจัยเร่งใหม่ เช่น นักท่องเที่ยวจีนฟื้นตัวเด่นอย่างมีนัยสำคัญ สำหรับกำไรสุทธิปี 2567 จะอยู่ที่ 325 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% ตามการเติบโตของรายได้และการเปิดสาขาเพิ่มอีกราว 5 แห่ง
.
ขณะที่หุ้นกลุ่มสนามบิน-สายการบิน อย่าง AOT บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คาดกำไรสุทธิในปี 2567 ที่ 22,660 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 157% เนื่องจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ แนวโน้มการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของทั้งธุรกิจที่เกี่ยวกับการบินและไม่เกี่ยวกับการบิน ดังนั้น แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 79 บาท
.
สุดท้าย BA บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 20.60 บาท โดยในปี 2567 ผลการดำเนินงานปกติยังโตได้ตามผู้โดยสารที่ยังฟื้นตัวขึ้น ตามมาตรการสนับสนุนฟรีวีซ่าและขยายเวลาพำนักของนักท่องเที่ยวจีนคาซัคสถานรัสเซีย อินเดีย ไต้หวัน และนักธุรกิจญี่ปุ่นที่เข้ามาติดต่อธุรกิจ แต่คาดจะไม่มีการใช้ประโยชน์ทางภาษีอีก ทำให้กำไรสุทธิลดลง 41% เป็น 2,050 ล้านบาท