ห้องเม่าปีกเหล็ก

หุ้นจำนำทะเบียนรถใกล้จุดอิ่มตัวหรือยัง?

โดย Edrink
เผยแพร่ :
64 views
หุ้นจำนำทะเบียนรถใกล้จุดอิ่มตัวหรือยัง? หลังแข่งขันรุนแรง-กำไรโตชะลอลง
 
ผลการดำเนินงานปี 64 ของกลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อ(Leasing) หรือกลุ่มจำนำทะเบียนรถ เริ่มทยอยประกาศออกมาแล้ว ประเดิมตัวแรก บมจ. เมืองไทย แคปปิตอล (MTC) ซึ่งผลประกอบการยังมีกำไรสูงกว่า 4.9 พันล้านบาท แต่กลับเป็นครั้งแรกที่กำไรลดลงนับตั้งแต่เข้าตลาดหุ้น ซึ่งอาจส่งสัญญาณให้เห็นถึงแนวโน้มอุตสาหกรรมลิสซิ่งว่าใกล้ถึงจุดอิ่มตัวหรือยัง? หลังจากหุ้นกลุ่มนี้เติบโตก้าวกระโดดมาตลอด 5-6 ปีที่ผ่านมา
.
"สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย" จึงได้สำรวจความเห็นของโบรกเกอร์ที่มีต่อแนวโน้มผลการดำเนินงานในกลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อ(Leasing)ในอนาคตว่าจากนี้จะมีทิศทางอย่างไร ยังเป็นกลุ่มที่น่าสนใจลงทุนหรือไม่ โดยมีรายละเอียดดังนี้
.
*** บล.หยวนต้า มองลิซซิ่งปี 65 แข่งขันรุนแรง-แบงก์แย่งมาร์เก็ตแชร์
นายตฤณ สิทธิสวัสดิ์ ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์(บล.) หยวนต้า เปิดเผยกับ "สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย" ว่า ภาพรวมหุ้นในกลุ่มลิซซิ่ง โดยเฉพาะตลาดจำนำทะเบียนรถจะมีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นในปี 65 เนื่องจากเริ่มเห็นผู้ให้บริการเข้ามาขยายตลาดทั้งรายเก่า-รายใหม่ เช่น รายใหม่อย่าง บมจ.เฮงลิสซิ่ง แอนด์ แคปปิตอล (HENG) หรือแม้แต่ บมจ.ศักดิ์สยามลิสซิ่ง (SAK) ที่มีแผนขยายสาขามากขึ้นในปีนี้
.
รวมถึงกลุ่มธนาคารที่จะเข้ามาลงสนามจำนำทะเบียนเพิ่ม อย่าง บมจ.บัตรกรุงไทย(KTC) โดยการปล่อยสินเชื่อมีหลักประกัน "พี่เบิ้ม" ซึ่งในปีนี้กลุ่มธนาคารจะกลับเข้ามาปล่อยสินเชื่อที่มีความเสี่ยงสูงเพิ่มขึ้น ทั้ง จำนำทะเบียรถ รถเช่าซื้อ รถจักรยานยนต์ ทั้งมือ 1 และ 2 หลังจากเริ่มมีฐานข้อมูลของลูกค้าในกลุ่มนี้ จากเทคโนโลยีที่พัฒนามากขึ้นในปัจจุบัน ดังนั้นส่วนแบ่งทางการตลาดของหุ้นรายใหญ่ในกลุ่มลิซซิ่งจึงมีโอกาสถูกดึงออกไป
.
นอกจากนี้กลุ่มลิซซิ่ง ยังประสบปัญหา ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ(NIM) ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ค่อนข้างยาก จากการแข่งขันที่สูงขึ้น และส่วนใหญ่สินค้าที่มีออกมาของกลุ่มดังกล่าวเป็นประเภท High risk high yield แต่แบงก์สามารถปรับ NIM ได้เพิ่มขึ้นในปีนี้ ด้านรายได้จากค่าธรรมเนียมถปรับตัวลดลงกดดันด้วยเช่นกัน
.
โดยการปรับขึ้นดอกเบี้ยประเมินว่าเมื่อลดลงจะขึ้นได้ยาก แม้ภาพรวมทิศทางดอกเบี้ยจะเป็นขาขึ้น แต่การแข่งขันในตลาดยังรุนแรง ศักยภาพของ NIM ในการฟื้นตัวต้องใช้เวลามาก อีกทั้งตลาดที่โดนแย่งส่วนแบ่ง กลุ่มลิซซิ่งต้องรุกสินค้าที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น เช่น การให้วงเงินลูกค้าในส่วนที่ไม่มีหลักประกันเพิ่ม หรือสินค้าใหม่ อย่าง สินเชื่อเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งจะทำให้กลุ่ม Non-Bank มี
สินเชื่อโตได้จริง แต่มีความเสี่ยงสูงจากการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นมาแทน
.
ดังนั้นภาพรวมหุ้นกลุ่มนี้ในอนาคตยังไม่สดใส โบรกฯ จึงให้น้ำหนักน้อยกว่าตลาด (Underweight) ในกลุ่มลิสซิ่งไฟแนนซ์ และโดยเฉพาะกลุ่มจำนำทะเบียนรถ ทั้ง บมจ. เมืองไทย แคปปิตอล (MTC) , บมจ. ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น (SAWAD) , บมจ. เงินติดล้อ (TIDLOR) เป็นต้น โดยในอนาคตมีความเสี่ยงจะถูกปรับลดประมาณการลง
.
"ปีนี้ภาพรวมแบงก์จะโดดเด่น จากการตั้งสำรองลดลง และปล่อยสินเชื่อที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น แต่ Valuation ของแบงก์ถูกกว่า ขณะที่ลิสซิ่งไฟแนนซ์ เป็นขั้วตรงข้าม ซื้อขายที่ P/E ระดับสูง แต่ศักยภาพการทำกำไรในปี 65 ไม่โดดเด่นในภาพรวม ดังนั้นจึงคิดว่ากลุ่มลิซซิ่งมีโอกาสลดการประเมินมูลค่าในส่วนต่างๆ ให้ตรงความเป็นจริงมากขึ้น" นายตฤณกล่าว
.
*** บล.เอเซีย พลัส มองกำไรกลุ่มลิสซิ่งปี 65 ชะลอตัวลง
นายเอนกพงศ์ พุทธาภิบาล ผู้ช่วยผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส เปิดเผยกับ "สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย" ว่า แนวโน้มของธุรกิจสินเชื่อในกลุ่มลิสซิ่งปี 65 คาดว่ายังมีโอกาสเติบโตได้ดี เนื่องจากเศรษฐกิจฟื้นตัวและเปิดเมืองจะสนับสนุนให้ความต้องการใช้สินเเชื่อเพิ่มมากขึ้น โดยมองว่าการแข่งขันในตลาดปีนี้ยังคงมีอยู่ แต่จะไม่รุนแรงเท่ากับปี 64 ที่ช่วงต้นปีมีกรณีบมจ. ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น (SAWAD) จับมือกับธนาคารออมสิน เพื่อปล่อยสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำระดับประมาณ 15% ซึ่งในขณะนั้นมีประเด็นการแข่งขันปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง แต่มองว่าปีนี้จะเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น
.
โดยคาดว่า SAWAD ทิศทางกำไรในปี 65 ยังคงเติบโตได้ประมาณ 2% ด้านบมจ. เมืองไทย แคปปิตอล (MTC) คาดกำไรปี 65 เติบโตได้ 4% ซึ่งภาพรวมอัตราการเติบโตของกำไรในปี 65 ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับช่วง 5 ปีย้อนหลังที่ผ่านมา (กำไร SAWAD ปี 59-63 เฉลี่ยโต 29% , กำไร MTC ปี 60-64 เฉลี่ยโต 30%) จากฐานกำไรของบริษัทใหญ่ขึ้น จากระดับ 2,000 ล้านบาท เป็น 4,000 ล้านบาท
.
ประกอบกับการแข่งขันช่วงปี 64 เรื่องปรับลดอัตราดอกเบี้ย ทำให้รายได้ NIM แคบลง เป็นปัจจัยกดดัน ประกอบกับต้นทุนความเสี่ยง (Credit cost) จากการล็อกดาวน์ช่วงไตรมาส 3/64 ทำให้ลูกหนี้ความสามารถชำระหนี้น้อยลง บริษัทฯ ต้องตั้งสำรองเพิ่มขึ้นซึ่งมีแนวโน้มตั้งสำรองเพิ่มต่อในปีนี้
.
"การกลับไปปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นมีโอกาสในอนาคต แต่ช่วงนี้คงยังไม่เห็น เพราะภาวะลูกหนี้ยังไม่ได้ดีขึ้นขนาดนั้น ยกเว้นว่าจะมีเหตุการณ์กนง. ขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งภาพรวมในปีนี้มองว่าการทำกำไรของกลุ่มนี้อาจจะไม่มากเท่ากับในอดีตที่ผ่านมา" นายเอนกพงศ์กล่าว
.
ด้านบมจ. เงินติดล้อ (TIDLOR) คาดว่ากำไรปี 65 จะเติบโตได้ 28% เนื่องจากบริษัทไม่ได้มีการแข่งขันในเรื่องดอกเบี้ย โดยจะมุ่งเน้นรถยนต์และบรรทุกมากกว่า รวมถึงสินชื่อในปี 65 คาดว่าจะเติบโตได้ 17% ประกอบกับการระดมทุนในตลาดช่วงกลางปีก่อนทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยทำให้รายได้จะเพิ่มมากขึ้น
.
มองว่าหุ้นในกลุ่มลิสซิ่งยังให้น้ำหนัก "เท่าตลาด" โดยมองหุ้น TIDLOR ยังน่าสนใจมากสุด แนะนำซื้อ เป้าหมาย 46 บาท , SAWAD แนะซื้อเป้า 72 บาท และ MTC แนะเปลี่ยนตัวลงทุน
.
*** โบรกฯ ส่วนใหญ่พร้อมใจหั่นเป้า MTC หลังงบ Q4/64 แย่กว่าคาด
หลังจาก MTC ประกาศงบไตรมาส 4/64 ออกมา มีกำไร 1,100 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่แย่กว่าตลาดคาดการณ์ ส่งผลให้โบรกฯ ปรับประมาณการณ์ และราคาเป้าหมายปี 65 ลง เนื่องจากมีมุมมองว่า การตั้งสำรองมีแนวโน้มสูงกว่าเดิม โดยมีรายละเอียดดังนี้
 
โบรก คาดงบปี 65 (ลบ.) เป้าใหม่(บ.) / แนะ
บล.ฟิลลิป 5,900 66.50 / ซื้อ
บล.โนมูระ พัฒนสิน ทบทวนประมาณการ 63 / Neutral
บล.เคทีบีเอสที 5,200 55 / ถือ
บล.เอเซีย พลัส 5,154 52 / Switch
บล. บัวหลวง 6,130 68 / ซื้อ
บล. ทิสโก้ 6,504 68 / ซื้อ
 
*ข้อมูลล่าสุด 15 ก.พ. 65
 

Edrink