"ออมเงิน" กับ "ลงทุน" สำคัญไฉน???
เคยตั้งคำถามกันหรือไม่ครับว่า “ทำไมเราถึงต้องออมเงิน??” หรือ “ทำไมการลงทุนจึงมีความสำคัญในชีวิตประจำวัน” หากคุณเคยตั้งคำถามเหล่านี้หละก็ บทความนี้อาจจะช่วยตอบคำถามของคุณได้
ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่พยายามหางานที่มีรายได้กันสูงๆ เพื่อที่จะได้มีเงินใช้ให้เพียงพอกับค่าใช้จ่ายในแต่ละวัน แต่เคยสงสัยกันไหมครับว่า ถึงสามารถหาเงินมาได้เท่าไหร่ก็ยังไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น นี่ยังไม่พูดถึงเงินที่ต้องเผื่อใช้ในอนาคตในยามที่คุณเกษียณอีก
ในช่วงชีวิตของมนุษย์เรา วิธีการเพิ่มเงินในกระเป๋าเงินของคุณนอกจากวิธีการ “หาเงิน” แล้ว การ “ออมเงิน” ยังเป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถประคองสถานะการเงินของคุณให้เพียงพอกับค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้ โดยทั่วไปของการออมเงิน ผมแนะนำ 2 วิธีง่ายๆ ที่จะมีส่วนช่วยทำให้คุณประสบความสำเร็จสำหรับในการออม นั่นคือ
- เก็บก่อนใช้ คุณต้องวางแผนการเงินคุณก่อนว่า เงินที่คุณสามารถหามาได้นั้นจะเก็บไว้เป็นจำนวนเท่าไหร่ หลายคนแนะนำว่า 10% ของรายได้น่าจะเป็นจำนวนเงินขั้นต่ำสำหรับการเก็บเงิน แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณจะเก็บมากกว่านี้ก็จะเป็นเรื่องที่ดีกว่าแน่ครับ และที่สำคัญต้องออมเงินไว้ก่อน แล้วจึงนำเงินที่เหลือไปใช้ในค่าใช่จ่ายประจำวัน หากคุณนำเงินไปใช้ก่อน คุณอาจจะไม่เหลือเงินให้ออมก็ได้
- ทำบันทึกรายรับรายจ่าย ข้อนี้สำคัญไม่แพ้กว่าข้อแรก คุณต้องรู้ว่าเงินที่ออกจากกระเป๋าเงินของคุณถูกใช้จ่ายไปกับเรื่องอะไร มันคุ้มค่าหรือไม่ ผมไม่แนะนำว่าจะต้องใช้เงินทุกอย่างอย่างคุ้มค่า เราสามารถนำเงินส่วนหนึ่งซื้อความสุขบ้างก็ได้ เพียงแต่ต้องไม่มากจนกระทบกับการใช้จ่ายที่จำเป็น
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้การออมเงินจะเป็นวิธีที่สามารถรักษาสภาพคล่องทางการเงินของคุณไว้ได้ แต่ก็ยังไม่ใช่วิธีเดียวที่ควรเลือกใช้ เงินจำนวนนั้นหากถูกเก็บไว้ในธนาคาร โดยเฉลี่ยแล้วคุณจะได้อัตราดอกเบี้ยเพียง 0.75% ต่อปี (อัตราเงินฝากออมทรัพย์) หรือออมเงินไว้ในธนาคาร 100 บาท คุณจะได้เงินดอกเบี้ยจากธนาคารเพียง 75 สตางค์ต่อปี ซึ่งถือว่าน้อยมากหากเทียบกับอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น และโดยทั่วไปแล้วอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยจะอยู่ประมาณ 3% ต่อปี นั่นหมายถึงว่า เงินที่ถูกออมไว้ในธนาคารจะถูกเงินเฟ้อกัดกร่อนจนมูลค่าลดลงปีแล้วปีเล่า ดังนั้น การออมเงินอย่างเดียว จึงอาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก
“การลงทุน” จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถช่วยสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุน โดยคาดหวังว่าจะสร้างผลตอบแทนจนเอาชนะอัตราเงินเฟ้อในแต่ละปีได้ อย่างไรก็ตาม ทางเลือกของการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ มีอยู่เป็นจำนวนมากเช่น ตราสารทุน (หุ้น) ตราสารหนี้ (พันธบัตร) ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ ซึ่งทรัพย์สินแต่ละประเภทก็มีผลตอบแทนแตกต่างกันไป
(ที่มา: The National Farmers Union Mutual Insurance Society, 2018)
จากรูป แสดงถึงผลตอบแทนของสินทรัพย์ต่างๆ ทั่วโลกย้อนหลัง 5 ปี (2013 – 2017) พบว่า ส่วนใหญ่แล้วผลตอบแทนของหุ้นสร้างผลตอบแทนได้มากที่สุด ซึ่งในแต่ละปีอัตราผลตอบแทนของแต่ละภูมิภาคจะสลับมากน้อยกันไป โดยปีล่าสุดพบว่า หุ้นในภูมิภาคเอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงที่สุดถึง 23.4% ในขณะที่ผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ซึ่งรวมถึงตลาดในประเทศไทย สามารถสร้างผลตอบแทนเป็นอันดับสอง 21.1% ในขณะที่ผลตอบแทนของการฝากเงินสด (Cash) สร้างผลตอบแทนเฉลี่ยได้เพียง 0.5% จึงจะเห็นได้ว่า การฝากเงินในธนาคารเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก เพราะจะทำให้เสียโอกาสในการลงทุนสินทรัพย์ประเภทอื่นซึ่งให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า
อย่างไรก็ตาม ผลตอบแทนยังไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่นักลงทุนใช้ตัดสินใจลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ อีกหนึ่งปัจจัยที่นักลงทุนควรพิจารณา นั่นคือ ความเสี่ยงของการลงทุน และโดยทั่วไปแล้วสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนที่สูงจะมีความเสี่ยงในการลงทุนสูงเช่นกัน ในขณะที่สินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนต่ำ ก็จะมีความเสี่ยงในการลงทุนที่ต่ำกว่า ดังนั้น นักลงทุนจึงควรพิจารณาเลือกสินทรัพย์ในการลงทุนให้เหมาะสมกับ Life Style ของตนเอง และรวมถึงความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้ จึงจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุด