ห้องเม่าปีกเหล็ก

เอาไงดี? กลุ่มโลจิสติกส์

โดย dave
เผยแพร่ :
60 views

เอาไงดี? กลุ่มโลจิสติกส์ ราคาหุ้นย่อแล้ว จะเข้าเก็บหรือขายทำกำไร?

จากประเด็­นการระบาดของ COVID-19 ทำให้มีการประกาศปิดเมือง (ล็อกดาวน์) ของหลายประเทศ ธุรกิจหลาย ๆ กลุ่มได้รับผลกระทบตามกันไปด้วย แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นก็มีกลุ่มโลจิสติกส์ เพราะหลายประเทศต้องชะลอ และยกเลิกการส่งออก-นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ขณะที่การเดินทางของผู้คนก็ต้องหยุดชะงักไปด้วย

 

อย่างไรก็ตามตัวเลขการติดเชื้อ COVID-19 แม้จะยังเพิ่มขึ้น แต่เพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง จึงทำให้แต่ละประเทศ เริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์มากขึ้น ถือเป็นปัจจัยบวกที่ทำให้ภาคธุรกิจต่าง ๆ สามารถเดินต่อไปได้ วันนี้ Wealthy Thai จึงได้หยิบยกหุ้นกลุ่มโลจิสติกส์มานำเสนอ เนื่องจากพบว่าความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่น

 

ก่อนหน้านี้ความเคลื่อนไหวราคาหุ้นกลุ่มโลจิสติกส์ ในรอบ 1 เดือน สิ้นสุดวันที่ 22 เม.ย.2563 พบว่าปรับตัวเพิ่มขึ้นมากพอสมควร โดย THAI มีราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นมากสุด บวกแรงสูงถึงระดับ 135.39% ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาก็มีกระแสข่างต่าง ๆ เกี่ยวกับ THAI เกิดขึ้นอย่างมากมาย แม้หลายภาคส่วนออกมาปฏิเสธ ตามที่เรารายงานก่อนหน้านี้ แต่ล่าสุดราคาหุ้นยังสามารถยืนบนแดนบวกต่อได้ ส่วนอันดับ 2 คือ JUTHA ที่ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นสูงถึง 85.00% และอันดับ 3 คือ PRM ปรับเพิ่มขึ้นสูงเช่นเดียวกันที่ 79.73%

 

โดยมีรายละเอียดในตารางดังนี้

 

อย่างไรก็ตามราคาหุ้นของกลุ่มโลจิสติกส์ ล่าสุดวันนี้ (24 เม.ย.2563) โดยเฉพาะกลุ่มเดินเรือ ราคาหุ้นได้ย่อลงบ้างแล้ว หลังจากก่อนหน้านี้ปรับตัวขึ้นไปอย่างโดดเด่นตามที่รายงานข้างต้น  โดยนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด มีมุมมองกับหุ้นลุ่มขนส่ง ซึ่งระบุว่า COVID-19 ส่งผลกระทบรุนแรงต่อกลุ่มสายการบินและขนส่งมวลชน หลังมีการปิดเส้นทางการเดินทางของสายการบิน และการหยุดบิน ขณะที่นโยบาย Work from home ส่งผลต่อจำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้าและทางด่วนลดลง อย่างไรก็ดี หากมีการควบคุมการแพร่ระบาดได้ เชื่อว่ากลุ่มขนส่งมวลชนจะฟื้นตัวได้เร็วกว่ากลุ่มสายการบิน แนะนำ “หลีกเลี่ยงในระยะสั้น-กลาง” ส่วน Top pick ชอบ BTS

 

ส่วนมุมมองของนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด ระบุว่า การประกาศผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ทั่วโลก มองเป็นทั้งบวกและลบ โดยมองเป็น Sentiment เชิงบวกต่อภาพรวมการลงทุนระยะสั้น แต่ยังคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด หากการประกาศผ่อนปรนมาตรการดังกล่าว ทำให้สถิติจำนวนผู้ติดเชื้อกลับมาเพิ่มขึ้น จะกลับมาเป็นปัจจัยกดดันภาพรวมการลงทุนในระยะต่อไป

 

ด้านมาตรการดังกล่าวของไทย ยังคงต้องติดตาม ซึ่งคาดว่าจะมีการทยอยเปิด 3 ระยะ ระหว่างเดือน พ.ค. โดยเริ่มจากพื้นที่ ที่มีความเสี่ยงอยู่ในระดับต่ำ (ไม่เคยมีผู้ติดเชื้อหรือไม่พบผู้ติดเชื้อในช่วง 14 วันที่ผ่านมา) ส่วนพื้นที่ของจังหวัดกรุงเทพฯ คาดว่าจะช้าสุด

 

ได้ประโยชน์ราคาน้ำมันต่ำ

 

ขณะที่ประเด็น ราคาน้ำมันดิบ มองว่ามีโอกาสทรงตัวในระดับต่ำต่อเนื่องอีก 1 - 2 เดือน โดยยังคงมุมมองเดิม เชื่อว่า Downside ของราคาน้ำมันดิบต่ำ แต่การฟื้นตัวยังคงต้องรอปัจจัยด้าน Demand ซึ่งคาดว่าจะกลับมาฟื้นในช่วงครึ่งหลัง 2563 ด้าน Supply ที่จะลดลง พ.ค. เป็นต้นไป มองว่ายังไม่เพียงพอ โดยหุ้นที่ได้ประโยชน์จะเป็นกลุ่มที่มีต้นทุนผลิตอิงกับราคาน้ำมัน (การบิน กลุ่มขนส่ง และบรรจุภัณฑ์) และกลุ่มไฟฟ้าที่มีสัดส่วน SPP สูง รวมทั้งกลุ่มค้าปลีกจากกำลังซื้อที่ลดลง

 

ด้านนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า กลุ่มขนส่งสินค้าทางเรือ (PSL, TTA, RCL, PRM) ถือเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ได้รับผลบวกจากราคาน้ำมันต่ำ เนื่องจากน้ำมันเป็นต้นทุนหลักของบริษัท และ PRM จะได้ผลบวกต่อ FSU เพราะจะทำให้ demand เรือ FSU ที่ใช้ในการจัดเก็บน้ำมันเพิ่มขึ้น แต่ปกติจะทำสัญญาเช่าเรือระยะยาว 1 ปี สัญญาเช่าเรือเก่าที่จะหมดอายุจะมีโอกาสปรับอัตราค่าเช่าเรือเพิ่มขึ้น

 

 

PRM Q1-2 ผลงานยังโตเด่น

 

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ขณะนี้ คาด PRM รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1/2563 ที่244 ล้านบาท เติบโต 10.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยคาดรายได้ เติบโต 32% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 1,569 ล้านบาท จากธุรกิจ FSU ที่รับรู้เรือ 8 ลำเต็มไตรมาสและปรับค่าเช่าเรือตั้งแต่ มี.ค. 2562 ที่ขึ้น 20% และ มี.ค. 2563 ปรับขึ้น 20% อีก 3 ลำ และเรือขนส่งในประเทศที่มีเรือเพิ่มขึ้น ชดเชยรายได้จาก Offshore ที่ลดลงจากเรือเข้าอู่ 1 ลำ และ 1 ลำมีวันทำงานลดลง ส่วนเรือขนส่งระหว่างประเทศทรงตัว

 

ส่วนไตรมาส 2/2563 ยังคงแข็งแกร่ง การดำเนินงานยังคงแข็งแกร่ง FSU และเป็นตัวหนุนหลัก จากรับรู้ค่าเช่าที่เพิ่มเต็มไตรมาสและจะมีต่อสัญญาอีก 1-2 ลำในไตรมาส 2/2563  คาดได้เพิ่มอีก 20% เช่นกัน โดยเรือขนส่งในประเทศ คาดยังดีแม้การขนส่งไปภาคใต้ชะลอ แต่ก็หางานอื่นมาทดแทนได้ และผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนจะน้อยลงจากไตรมาสก่อน ยังแนะนำ "ซื้อ" เป้าหมาย 7.50 บาท และยังคงคาดกำไรปีนี้ที่ 1,163 ล้านบาท เติบโต 13.6% จากปี 2562  โดยครึ่งปีหลังจะมีการต่อสัญญาเรืออีกและมองจังหวะในการเพิ่มกองเรือตามแผน

 

AAV มีเงินสดรองรับ 4-5 เดือน

 

นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด มองว่า ยังไม่มีประมาณการและคำแนะนำสำหรับ AAV แต่โดยเบื้องต้นการหยุดบินทำให้เกิดภาวะขาดทุน จาก 30% ของต้นทุนทั้งหมด เป็น Fixed Cost แต่จะไม่มีรายได้ อย่างไรก็ดี เชื่อว่าการตัดสินใจหยุดบิน จะขาดทุนน้อยกว่าไม่หยุดบิน ส่วนสถานการณ์ปัจจุบัน AAV มีความสามารถรองรับกระแสเงินสดได้อย่างน้อย 4-5 เดือน โดยไม่มีรายได้ ดังนั้น หากสถานการณ์ไม่ลากยาว ยังไม่มีความเสี่ยงเพิ่มทุน

 

แนวโน้มการฟื้นตัวของผลประกอบการขึ้นกับการควบคุมสถานการณ์โรคระบาด และการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยว สมมติฐานของบริษัทที่ทยอยฟื้นตัวในไตรมาส 3/2563 ใกล้เคียงกับสมมติฐานกลุ่มท่องเที่ยวของฝ่ายวิจัย ซึ่งคาดผลประกอบการจะเริ่มอ่อนแอตั้งแต่ไตรมาส 1/2563 เป็นต้นไป โดยเฉพาะในไตรมาส 2-3/2563 คาดได้รับผลกระทบเชิงลบจาก COVID-19 มากที่สุด ทำให้ปี 2563 มีโอกาสขาดทุนมากกว่าปีก่อน

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


dave