4 โบรกฯ ประสานเสียงหั่นเป้า SET สิ้นปี 66
เหตุมีปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน ตั้งรัฐบาลยังวุ่น
แถมกระทบปัญหาเศรษฐกิจโลกชะลอตัว

.
เปิด 4 มุมมองนักวิเคราะห์ค่ายดัง หลังผสานเสียงหั่นเป้า SET INDEX ในปีนี้ลง หลังมีความเสี่ยงทางการเมืองที่มากขึ้นที่ทำให้เกิดความไม่แน่นอน อาจจะต้องใช้เวลานานกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ รวมทั้งยังมีปัจจัยลบจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ราคาน้ำมันที่ต่ำลงอีกด้วย ทำให้ต้องปรับเป้า SET INDEX ในปีนี้ลดลง
.
[“บล.หยวนต้า” เคาะเหลือ1,630 จุด]
เริ่มกันที่นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด มีความเห็นว่า Bloomberg Consensus ปรับคาดการณ์กำไรต่อหุ้น (EPS) ของ SET INDEX ปี 2566 ลงเหลือ 95.6 บาท/หุ้น เทียบกับช่วงต้นปีที่ 105-109 บาท/หุ้น หลังจากผลประกอบการไตรมาส 4/65 ที่ประกาศช่วง ก.พ. ถึงกลาง มี.ค. 2566 ออกมาแย่กว่าคาดมาก
.
รวมถึง Outlook ของกลุ่มพลังงานและภาคการผลิตที่ไม่สดใส จากผลกระทบของค่าไฟฟ้าที่เร่งตัวขึ้น ทำให้ตลาดปรับลดคาดการณ์การเติบโตของ EPS ปีนี้และปีหน้าลงเพื่อความระมัดระวัง โดยกลุ่มที่ถูกปรับลดประมาณการกำไรปีนี้ลงมากที่สุดในรอบ 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา คือ ปิโตรเคมี, สินค้าเกษตร, สื่อบันเทิง, ไฟแนนซ์, พลังงาน ส่วนกลุ่มที่ถูกปรับประมาณการขึ้นมากที่สุด คือ ยานยนต์ ขนส่ง และโรงแรม
.
ขณะที่ เมื่ออิงคาดการณ์กำไรปกติใน Coverage ของฝ่ายวิจัย พบว่านักวิเคราะห์ทยอยปรับประมาณการปีนี้ลงเช่นกัน โดย Core EPS Growth ล่าสุด เฉลี่ยอยู่ที่โต 19 % จากปีก่อน จากช่วงต้นปีที่โต 27 % จากปีก่อน ขณะที่ปี 2567 คาดโตเฉลี่ย 15% จากปีก่อน
.
โดยทำให้ต้องปรับคาดการณ์ EPS ปีนี้และปีหน้าลง เพื่อให้สอดคล้องกับประมาณการดังกล่าว และเป็นไปตามหลักความระมัดระวัง ตามเงื่อนไขทางเศรษฐกิจที่ปัจจัยภายนอกมีความเสี่ยงด้าน Global Recession และปัจจัยภายในที่มีโอกาสถูกกดดันจากการชะลอตัวของ GDP ไตรมาส 3/66 หากการจัดตั้งรัฐบาลเป็นไปอย่างล่าช้า
.
ดังนั้นจึงได้ปรับ SET INDEX ปีนี้ลงเหลือ 1,630 จุด จากเดิม 1,720 จุด เนื่องจาก การปรับลดคาดการณ์ EPS ปีนี้ลงเหลือ 97 บาท/หุ้น เติบโต 10 % จากเดิม 107 บาท/หุ้นและอิง PER Multiplier เฉลี่ย 10 ปีย้อนหลังที่ 16.85 เท่า
.
ทั้งนี้ภายใต้สมมติฐาน 1.คาด GDP ปีนี้โต 3.8 % เร่งตัวขึ้นจากปีก่อนที่ 2.6% 2.กำไรบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มบริการยังมีช่องว่างให้ฟื้นตัวกลับเข้าสู่ระดับ Pre COVID 3.รัฐบาลใหม่ยังไม่รีบเร่งดำเนินนโยบายที่ทำให้ต้นทุนบริษัทจดทะเบียนเร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เช่น การปรับขึ้นค่าแรง และการปรับเพิ่มอัตราภาษีของธุรกิจขนาดใหญ่
.
โดยเบื้องต้น คาดว่านโยบายของรัฐบาลใหม่จะยังไม่กระทบอัตรากำไรสุทธิในทันที เพราะเป็นการจัดตั้งรัฐบาลพรรคร่วมที่ยังมีความเห็นต่างในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายประเด็น จึงยังคาดว่า SET INDEX สามารถซื้อขายบน PER Multiplier เฉลี่ย 10 ปีย้อนหลังที่ระดับ 16.85 เท่าได้
.
สำหรับ กลุ่มที่คาดว่าจะ Outperform ในช่วงที่เหลือของปีคือ 1.ธนาคารพาณิชย์ ได้แรงหนุนจากมาตรการของรัฐบาลใหม่ที่เน้นกระตุ้นการบริโภคและการเติบโตของ SME ส่งผลให้การตั้งสำรอง และ NPLs ของธุรกิจขนาดเล็ก รวมถึงภาคครัวเรือน มีโอกาสชะลอตัวลง
.
2.ค้าปลีก, สินค้าอุปโภคบริโภค, อาหารและเครื่องดื่ม ได้แรงหนุนจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 3.นิคมอุตสาหกรรมและยานยนต์ ได้แรงหนุนจากการเป็นศูนย์กลางการผลิต EV Car ในอาเซียน
4.สินค้าเกษตร ได้แรงหนุนจากราคาสินค้าเกษตรที่มีโอกาสฟื้นตัวจากสภาพอากาศแปรปรวน 5.โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจากมาตรการสนับสนุนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อมุ่งสู่ Net Zero
.
โดยหุ้นแนะนำ คัดกรองโดยอิงเกณฑ์ 1.มี Upside เกิน 20 % เมื่อเทียบกับราคาเหมาะสม 2.ผลประกอบการปีนี้โตต่อเนื่อง 3. Valuation ไม่แพง ซึ่งได้แก่ KBANK, MAKRO, AMATA, GUNKUL, SJWD, SFLEX, และ TTCL
.
[บล.ธนชาตชี้การเมืองยังมีความเสี่ยง]
ขณะที่มุมมองนักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) มีความเห็นว่า ปรับลดดัชนีเป้าหมาย SET สิ้นปีเป็น 1,560 จุด (จาก 1,750) เพื่อสะท้อนถึงการปรับลดกำไรของฝ่ายวิจัยตั้งแต่เดือนมีนาคม 66 และความเสี่ยงทางการเมืองที่มากขึ้นที่ทำให้เกิดความไม่แน่นอน โดยเฉพาะในระยะใกล้ที่ไม่รู้ว่าพรรคไหนจะได้เป็นรัฐบาลใหม่ แต่ถ้าหากความเสี่ยงทางการเมืองหายไป ดัชนีเป้าหมาย SET จะอยู่ที่ 1,650 จุด สำหรับการลงทุนระยะยาว คงหุ้นในพอร์ตลงทุนของเราเช่นเดิม
.
[บล.เคจีไอ เผยมีความไม่แน่นอนตั้งรัฐบาลใหม่]
ด้านมุมมองนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มีความเห็นว่า จากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลานานกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ เนื่องจากมีประเด็นอย่างเช่น รายละเอียดของ MOU ระหว่างพรรคก้าวไกล และพรรคการเมืองอื่น ๆ และการมีส่วนร่วมของสมาชิกวุฒิสภาในการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี
.
ดังนั้น ภาวะตลาดในระยะสั้นจึงถูกกดอยู่ อย่างไรก็ตาม มองว่าที่ระดับปัจจุบันดัชนี SET ยังมี value ดีอยู่ แม้จะมีการปรับลดเป้าดัชนี SET ลงก็ตาม โดยได้ปรับลดมูลค่าเหมาะสมของดัชนีในปี 2566 ลงจากเดิมที่ 1,730 จุด เหลือ 1,670 จุด อิงจาก PE เป้าหมายที่ 16 เท่า
.
ทั้งนี้มองว่าความชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาลผสมชุดใหม่ และ ความกังวลที่ลดลงเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจสหรัฐถดถอยจะเป็นสองปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นในตลาดฟื้นตัวได้ ในขณะเดียวกัน ยังคงเน้นหุ้นในธีมการบริโภค และการท่องเที่ยว อย่างเช่นกลุ่มธนาคาร commerce และโรงแรม ซึ่งได้แก่ BBL, KTB, CPALL, HMPRO และ ERW
.
[บล.ดาโอ ชี้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว]
ส่วนมุมมองนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มีความเห็นว่า เป้าดัชนีปี 66 ฝ่ายวิจัยได้ปรับลดจาก 1730 จุด เหลือ 1687 จุด ลดลงตามกำไรตลาด ทั้งนี้ กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีฯ ปีนี้ ให้ไว้ที่ 1,570-1,724 จุด ปัจจัยลบจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ราคาน้ำมันที่ต่ำลง ยังคงส่งผลให้นักวิเคราะห์ปรับลดกำไรตลาดลง (Bloomberg Survey ปรับลดลง 8% จากประมาณการต้นปี) อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ยูเครนและรัฐบาลใหม่ของไทย จะมีผลต่อการขยายตัวของกำไรตลาดในช่วงที่เหลือของปีนี้